บรรเทาอาการไมเกรนด้วยวิตามิน วิธีธรรมชาติที่ช่วยลดความถี่ของอาการปวดหัว
เมื่ออาการปวดหัวไมเกรนเกิดขึ้นแต่ละครั้ง เรียกได้ว่ารบกวนการใช้ชีวิตประจำวันไม่น้อย หลายคนอาจคุ้นเคยกับการใช้ยาแก้ปวดเป็นวิธีแก้ แต่รู้หรือไม่ว่ามีวิธีธรรมชาติที่สามารถช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้เช่นกัน ซึ่งนั่นก็คือการใช้ “วิตามินไมเกรน” ซึ่งมีงานวิจัยสนับสนุนว่าวิตามินบางชนิดสามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดหัวไมเกรนได้ ถ้าอยากรู้ว่าวิตามินตัวไหนช่วยได้บ้าง และควรเลือกใช้อย่างไร ไปดูกันเลย
สารบัญบทความ
- ความสำคัญของวิตามินในการบรรเทาไมเกรน
- วิตามินที่ช่วยบรรเทาไมเกรน
- วิธีการรับวิตามินสำหรับบรรเทาไมเกรน
- ข้อควรระวังในการใช้วิตามินเพื่อรักษาไมเกรน
- วิธีเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันไมเกรนควบคู่กับการใช้วิตามิน
- ข้อสรุป
ความสำคัญของวิตามินในการบรรเทาไมเกรน
ความสำคัญของวิตามินในการบรรเทาไมเกรน
ไมเกรนไม่ได้เป็นแค่อาการปวดหัวทั่วๆ ไปเท่านั้น แต่เป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบประสาทและสมอง ซึ่งวิตามินไมเกรนบางชนิดมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดความถี่และความรุนแรงของไมเกรน เพราะช่วยในเรื่องของระบบประสาท ลดการอักเสบ และปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง เมื่อร่างกายได้รับวิตามินอย่างเพียงพอ อาจช่วยป้องกันหรือลดโอกาสในการเกิดอาการปวดไมเกรนได้
การขาดวิตามินอาจทำให้ไมเกรนแย่ลง
หากร่างกายขาดวิตามินที่จำเป็นต่อสมอง อาจทำให้ไมเกรนเกิดบ่อยขึ้นหรือมีความรุนแรงมากขึ้น วิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบี2 แมกนีเซียม โคเอนไซม์คิวเท็น และวิตามินดี มีส่วนช่วยในกระบวนการทำงานของเซลล์สมองและการไหลเวียนเลือด ซึ่งหากมีปริมาณไม่เพียงพออาจส่งผลให้ระบบประสาททำงานผิดปกติ เกิดอาการปวดหัวที่รุนแรงขึ้น และฟื้นตัวช้ากว่าปกติ
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่พบว่าผู้ที่เป็นไมเกรนเรื้อรังมักจะมีระดับวิตามินบางชนิดต่ำกว่าปกติ การเติมสารอาหารต่างๆ เช่น แมกนีเซียมสำหรับคนเป็นไมเกรน ในปริมาณที่เหมาะสมจึงอาจช่วยลดโอกาสในการเกิดไมเกรนและทำให้อาการดีขึ้นได้
วิตามินที่ช่วยบรรเทาไมเกรน
หากได้รับวิตามินที่เหมาะสมก็สามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดหัวไมเกรนได้ โดยวิตามินบางชนิดมีบทบาทสำคัญต่อระบบประสาท การไหลเวียนเลือด และสมดุลของสารเคมีในสมอง ซึ่งช่วยป้องกันหรือบรรเทาไมเกรนได้อย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับคนที่ต้องการรักษาไมเกรนด้วยวิตามิน มาดูกันว่าวิตามินตัวไหนบ้างที่มีประโยชน์สำหรับคนเป็นไมเกรน
วิตามิน B2 (Riboflavin)
วิตามิน B2 เป็นหนึ่งในวิตามินที่มีงานวิจัยรองรับว่าสามารถช่วยลดความถี่ของไมเกรนได้ เพราะมีบทบาทสำคัญในการผลิตพลังงานให้กับเซลล์สมอง หากร่างกายได้รับวิตามิน B2 ไม่เพียงพอ อาจทำให้เซลล์สมองขาดพลังงาน ส่งผลให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้ง่ายขึ้น โดยแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B2 ได้แก่ ไข่ นม อัลมอนด์ ผักใบเขียว และเนื้อสัตว์ ปริมาณที่แนะนำจะอยู่ที่ประมาณ 400 มก./วันเพื่อช่วยบรรเทาไมเกรน (ตามการศึกษาทางคลินิก)
แมกนีเซียม
แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ มีคุณสมบัติช่วยให้เส้นเลือดขยายตัวและลดการเกร็งตัวของหลอดเลือดในสมอง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของไมเกรน นอกจากนี้ ยังช่วยลดระดับสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอาการปวดอีกด้วย โดยแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ กล้วย อะโวคาโด เมล็ดฟักทอง ถั่วต่างๆ และผักโขม ปริมาณที่แนะนำจะอยู่ที่ประมาณ 400-500 มก./วัน (จากอาหารหรืออาหารเสริม)
โคเอนไซม์ Q10 (CoQ10)
CoQ10 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างพลังงานให้กับเซลล์และช่วยให้การทำงานของไมโตคอนเดรียในสมองดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบและความเครียดออกซิเดชัน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นไมเกรน โดยแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วย CoQ10 ได้แก่ ปลาแซลมอน ตับวัว ถั่ว และน้ำมันมะกอก ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันจะอยู่ที่ประมาณ 100-300 มก./วัน
วิตามิน D
วิตามิน D เป็นวิตามินแก้ไมเกรนที่มีบทบาทในการลดการอักเสบของเซลล์ประสาทและช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน งานวิจัยบางชิ้นพบว่าผู้ที่เป็นไมเกรนเรื้อรังมักมีระดับวิตามิน D ต่ำกว่าปกติ และการเสริมวิตามิน D ช่วยลดความถี่ของอาการปวดหัวได้ โดยแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน D ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาที่มีไขมันสูง และไข่แดง ปริมาณที่แนะนำคือประมาณ 1,000-2,000 IU/วัน นอกจากนี้ แสงแดดยามเช้ายังอุดมไปด้วยวิตามิน D แนะนำให้ออกมารับแสงแดดอย่างน้อย 10-15 นาทีในช่วงเช้าทุกวัน จะทำให้ร่างกายสดชื่นและปวดหัวน้อยลง
วิตามิน C
วิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเครียดออกซิเดชันและการอักเสบในสมอง ซึ่งอาจช่วยป้องกันการเกิดไมเกรนได้ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองอีกด้วย โดยแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน C ได้แก่ ส้ม ฝรั่ง กีวี พริกหวาน บรอกโคลี ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานจะอยู่ที่ประมาณ 500-1,000 มก./วัน
วิธีการรับวิตามินสำหรับบรรเทาไมเกรน
จะเห็นได้เลยว่าวิตามินไมเกรนนั้นมีให้เลือกอย่างหลากหลาย แต่ในชีวิตประจำวันเราควรรับวิตามินเหล่านี้อย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด หลักๆ แล้วมีสองวิธี คือการรับจากอาหารธรรมชาติ และการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีที่แตกต่างกัน ลองมาดูกันว่าควรเลือกแบบไหนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนมากที่สุด
การรับวิตามินจากอาหารธรรมชาติ
การได้รับวิตามินและสารอาหารสำหรับปวดหัวไมเกรนจากแหล่งอาหารธรรมชาติเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยเสริมการทำงานของวิตามินนั้นๆ เช่น ไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ และแร่ธาตุอื่นๆ ที่อาจช่วยลดอาการไมเกรนได้
ตัวอย่างอาหารที่มีวิตามินช่วยบรรเทาไมเกรน ได้แก่
- วิตามิน B2 (Riboflavin) – พบใน ไข่ ตับ นม ผักใบเขียว
- แมกนีเซียม – พบใน อะโวคาโด กล้วย เมล็ดฟักทอง ถั่วอัลมอนด์
- CoQ10 – พบใน ปลาที่มีไขมันสูง ถั่ว ตับวัว
- วิตามิน D – พบใน ปลาแซลมอน ไข่แดง นมเสริมวิตามิน D
- วิตามิน C – พบใน ฝรั่ง ส้ม กีวี พริกหวาน
ข้อดีของการรับวิตามินจากอาหารธรรมชาติ
- ปลอดภัย ไม่มีสารเคมีหรือสารสังเคราะห์
- ได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยเสริมสุขภาพ
- ลดความเสี่ยงจากการได้รับวิตามินมากเกินไป
ข้อจำกัด
- อาจต้องวางแผนมื้ออาหารในแต่ละวันให้ครบถ้วน
- บางคนอาจได้รับวิตามินไม่เพียงพอหากทานอาหารไม่หลากหลาย
การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
แม้ว่าอาหารธรรมชาติจะเป็นแหล่งวิตามินที่ดีที่สุด แต่บางครั้งการได้รับวิตามินจากอาหารเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีข้อจำกัดด้านอาหาร หรือมีภาวะขาดวิตามินที่ต้องการปริมาณสูงกว่าปกติ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างวิตามินไมเกรนจึงเป็นอีกทางเลือกที่สะดวกและช่วยให้ได้รับวิตามินในปริมาณที่เพียงพอ
เคล็ดลับในการเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองคุณภาพ เช่น อย. หรือมาตรฐานสากล
- อ่านฉลากและปริมาณสารอาหาร ควรมีปริมาณเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป
- เลือกสูตรที่มีการดูดซึมดี เช่น แมกนีเซียมในรูปแบบ Magnesium Glycinate หรือ CoQ10 ในรูปแบบ Ubiquinol
ข้อดีของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- สะดวก เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาจัดมื้ออาหาร
- สามารถควบคุมปริมาณวิตามินที่ได้รับได้แม่นยำ
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินรุนแรง
ข้อจำกัด
- ผลิตภัณฑ์บางชนิดอาจมีสารเติมแต่งหรือสารกันเสีย
- หากรับมากเกินไปอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น หากรับแมกนีเซียมมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสีย
ข้อควรระวังในการใช้วิตามินเพื่อรักษาไมเกรน
แม้ว่าการรักษาไมเกรนด้วยวิตามินจะเป็นทางเลือกที่ช่วยบรรเทาไมเกรนได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการทานเยอะๆ จะให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น การทานวิตามินแบบผิดวิธีอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ดังนั้น ควรระมัดระวังเรื่องปริมาณและการเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดโดยไม่มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
ผลข้างเคียงจากการใช้วิตามินเกินขนาด
- วิตามิน B2 (Riboflavin) – อาจทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มผิดปกติ (ไม่อันตราย แต่ควรรับในปริมาณที่เหมาะสม)
- แมกนีเซียม – แมกนีเซียมสำหรับคนเป็นไมเกรนหากทานมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสีย ปวดเกร็งท้อง หรือมีอาการคลื่นไส้
- CoQ10 – หากได้รับมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
- วิตามิน D – การได้รับวิตามิน D ในปริมาณที่สูงเกินไปอาจทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูง เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- วิตามิน C – แม้จะเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำและขับออกทางปัสสาวะได้ แต่หากรับเกิน 2,000 มก./วัน อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียและนิ่วในไตได้
วิธีป้องกัน
- ทานวิตามินไมเกรนหรือวิตามินสำหรับระบบประสาทตามปริมาณที่แนะนำต่อวัน ไม่ควรเกินค่าที่กำหนด
- หากไม่แน่ใจเรื่องปริมาณ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน
- เลือกเน้นรับวิตามินจากอาหารธรรมชาติก่อน หากไม่พอค่อยพิจารณาการทานอาหารเสริมเพิ่ม
การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เหมาะสม
ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมากมายที่อ้างว่าสามารถช่วยบรรเทาไมเกรนได้ แต่ไม่ใช่ทุกตัวที่มีคุณภาพหรือเหมาะกับร่างกายของทุกคน การพิจารณาเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีจะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยจากสารปนเปื้อน โดยหลักการเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ได้แก่
- ตรวจสอบมาตรฐานและการรับรอง โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก อย. หรือหน่วยงานมาตรฐานสากล เช่น GMP, NSF, USP
- ดูส่วนผสมและปริมาณวิตามิน อ่านฉลากให้แน่ใจว่าปริมาณวิตามินหรือแร่ธาตุอยู่ในช่วงที่แนะนำ ไม่สูงหรือต่ำเกินไป
- เลือกสูตรที่ร่างกายดูดซึมได้ดี เช่น แมกนีเซียมในรูปแบบ Magnesium Glycinate หรือ CoQ10 ในรูปแบบ Ubiquinol ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีกว่ารูปแบบทั่วไป
- หลีกเลี่ยงสารเติมแต่งที่ไม่จำเป็น เช่น สีสังเคราะห์ น้ำตาล สารกันเสีย หรือสารปรุงแต่งที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสุขภาพของตัวเอง เช่น หากมีโรคไต ควรระวังการทานแมกนีเซียมสูงๆ
วิธีเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันไมเกรนควบคู่กับการใช้วิตามิน
หากต้องการให้เห็นผลดีขึ้นและลดความถี่ของอาการปวดหัวในระยะยาว การดูแลสุขภาพโดยรวมก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันเลย อย่างการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดไมเกรนและทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- นอนหลับให้เพียงพอและเป็นเวลา : การนอนน้อยหรือนอนมากเกินไปอาจกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้ ควรเข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลา รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอก่อนนอน
- จัดการความเครียด : ความเครียดเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอาการปวดไมเกรน ลองฝึกการหายใจลึกๆ การทำสมาธิ หรือโยคะ เพื่อช่วยผ่อนคลายหากเกิดอาการปวดหัว
- หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้นไมเกรน : เช่น คาเฟอีน แอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต ผงชูรส และอาหารแปรรูป ที่อาจเป็นตัวกระตุ้นของแต่ละคน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ : การขาดน้ำอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และเพิ่มปริมาณหากอยู่ในที่อากาศร้อนหรือต้องออกกำลังกาย
- ลดการใช้หน้าจอเป็นเวลานาน : การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือเป็นเวลานานอาจทำให้สายตาล้าและนำไปสู่อาการปวดไมเกรนได้ ดังนั้น ควรพักสายตาทุกๆ 20 นาที และลดแสงหน้าจอให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หลายคนที่เป็นไมเกรนอาจไม่ชอบการออกกำลังกาย เพราะกลัวว่าจะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว แต่จริงๆ แล้ว การออกกำลังกายที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของไมเกรนได้** เพราะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดความเครียด และทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดตามธรรมชาติ มาดูกันว่าออกกำลังกายแบบไหนช่วยลดไมเกรนได้
- คาร์ดิโอเบาๆ เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน ช่วยปรับสมดุลของระบบไหลเวียนโลหิต และลดความเครียด
- โยคะและพิลาทิส ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดความตึงเครียด และปรับสมดุลของระบบประสาท
- เวทเทรนนิ่งเบาๆ ไม่หนักเกินไป ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแรงโดยไม่กระตุ้นไมเกรน
- เดินเล่นกลางแจ้ง รับแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้าหรือตอนเย็น ช่วยให้ร่างกายผลิตวิตามิน D และช่วยลดความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี
ข้อควรระวังในการออกกำลังกายสำหรับคนที่เป็นไมเกรน
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ หรือใช้แรงมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดไมเกรน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนและหลังออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- วอร์มอัพและคูลดาวน์ทุกครั้ง เพื่อลดการกระตุ้นของระบบประสาท
ข้อสรุป
ไมเกรนเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต แต่สามารถบรรเทาได้ด้วยการเสริมวิตามินไมเกรน เช่น วิตามิน B2, แมกนีเซียม, CoQ10, วิตามิน D และ C ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดหัว นอกจากการเสริมวิตามินสำหรับระบบประสาทแล้ว การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังช่วยลดโอกาสเกิดไมเกรนในระยะยาวอีกด้วย
หากต้องการวินิจฉัยและรักษาไมเกรนอย่างตรงจุด BTX Migraine Center เป็นศูนย์เฉพาะทางที่ให้บริการตรวจและรักษาไมเกรนด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สนใจปรึกษา ขอคำแนะนำ หรือจองคิวการรักษา สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทร 090–970-0447 เพื่อรับบริการจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ทันที