ปวดไหล่เรื้อรัง ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ อาการแบบไหนที่ควรพบแพทย์

ปวดไหล่

ตามปกติแล้ว มนุษย์ใช้ข้อต่างๆ ในร่างกายร่วมกับกระดูก เอ็น หรือกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะหัวไหล่ ที่ช่วยทำให้ร่างกายสามารถขยับร่างกายและเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นปกติ และเพื่อให้ร่างกายสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามต้องการ

ทั้งนี้ หากเกิดเจ็บหรืออาการปวดไหล่ก็ไม่ควรละเลยและมองข้าม แต่ควรหาสาเหตุว่าปวดไหล่ เกิดจากอะไร แก้อาการปวดไหล่ขวาได้อย่างไร ป้องกันด้วยวิธีใด อาการแบบไหนต้องพบแพทย์ เพื่อให้ร่างกายกลับมาทำงานได้อย่างปกติ ซึ่งบทความนี้มีคำตอบมาให้แล้ว


สารบัญบทความ


ปวดไหล่

ไหล่เป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญไม่มองข้าม แต่ควรใส่ใจมากเป็นพิเศษไม่แพ้กับอวัยวะอื่นๆ โดยไหล่จะประกอบด้วยกระดูก 3 ชิ้น คือ กระดูกไหปลาร้า กระดูกสะบัก และกระดูกต้นแขน ทำหน้าที่ร่วมกับกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นเพื่อเป็นโครงสร้างให้แขนและมือ เป็นข้อในร่างกายที่ช่วยให้เคลื่อนไหวได้ทุกทิศทางผ่านการทำงานร่วมกับแขนหรือส่วนอื่นๆ

ดังนั้น หากมีอาการปวดไหล่ มีอาการเจ็บไหล่ หรือปวดคอ บ่า ไหล่ จึงควรหาสาเหตุของอาการ เพื่อทำการรักษาอย่างถูกวิธีและถูกต้องเหมาะสม


ปวดไหล่เกิดจากสาเหตุใด

อาการปวดไหล่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ไม่แพ้อาการปวดหัวไมเกรน เนื่องจากมีปัจจัยหรือสาเหตุต่างๆ มากมายที่ส่งผลให้เกิดอาการปวดบ่า ปวดไหล่ ซึ่งแบ่งสาเหตุได้ดังนี้

อาการปวดไหล่

1. อาการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ

การปวดไหล่ที่เกิดจากอาการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ มักส่งผลในระยะยาว กล่าวคือ เมื่อเกิดอุบัติเหตุในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่น พอรักษาหาย ในระยะเวลาต่อมาก็อาจจะยังคงมีอาการปวดไหล่ต่อได้

2. การใช้งานข้อไหล่อย่างไม่เหมาะสม

การใช้งานข้อไหล่อย่างไม่เหมาะสมหรือใช้ข้อไหล่หนักเกิน เช่น นักกีฬาแบดมินตัน นักกีฬาเทนนิส การขว้างของอย่างรุนแรง จะส่งผลให้มีการเสียดสี และทำให้หัวไหล่อักเสบ ตลอดจนอาจจะส่งผลให้กล้ามเนื้อไหล่อักเสบ อาการปวดไหล่จากสาเหตุนี้เกิดได้บ่อยในกลุ่มวัยรุ่น ดังนั้น อาจจะต้องระมัดระวังการขยับหรือการใช้งานข้อไหล่เสมอๆ

3. กลุ่มโรคข้ออักเสบ

ในบางกรณีอาการปวดไหล่ร้างลงแขน อาจเกิดจากโรคข้ออักเสบ เช่น โรครูมาตอยด์ โรคเกาต์ โรคข้อเสื่อม โรคSLE เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะมีลักษณะอาการของแต่ละโรคข้ออักเสบแล้ว ยังส่งผลให้เกิดอาการปวดไหล่ร่วมด้วย

4. ภาวะข้อไหล่เสื่อมตามวัย

ตามปกติแล้วประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายและอวัยวะต่างๆ จะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น กรณีที่ปวดไหล่บ่อยๆ หรือปวดไหล่เรื้อรัง จากภาวะข้อไหล่เสื่อมตามวัย จึงมักพบได้ในกลุ่มคนวัยกลางคนและวัยผู้สูงอายุมากกว่ากลุ่มวัยรุ่น

5. เส้นเอ็นอักเสบ

เส้นอักเสบจะเกิดจากการที่แคลเซียมหรือหินปูนมาเกาะรอบๆ บริเวณข้อไหล่ ตลอดจนเป็นผลข้างเคียงมาจากการอักเสบในบริเวณใกล้เคียง เช่น กระดูกอักเสบ คออักเสบ หรือปวดหัวท้ายทอย ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียวกับบ่า คอ ไหล่ ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวไหล่หรือตามข้อต่อหัวไหล

6. ภาวะข้อไหล่ติด

ภาวะข้อไหล่ติดเกิดจากอุบัติเหตุหรือเกิดจากหลังผ่าตัด ส่งผลให้เอ็นข้อไหล่อักเสบจนมีผังผืดหนาและตึงมากขึ้น อาการของสาเหตุนี้คือ จะมีอาการปวดไหล่ทั้ง 2 หรือข้างใดข้างหนึ่ง เมื่อทิ้งไว้นานวันขึ้นจะส่งผลให้ข้อไหล่ติดขัด ตลอดจนการเคลื่อนไหวลำบาก


กลุ่มคนที่มักเกิดอาการปวดไหล่

ปวดไหล่ขวา

อาการปวดไหล่สามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่พบว่ากลุ่มคนที่มักเกิดอาการปวดหัวไหล่มี 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

1. กลุ่มวัยรุ่นหรือวัยทำงาน

เนื่องจากคนกลุ่มดังกล่าวนี้มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบคนรุ่นใหม่ และยังอยู่ในวัยที่ต้องเดินทาง ทำงาน การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา ตลอดจนการได้รับอุบัติเหตุ เช่น รถชน การลื่นล้ม การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วแต่ผิดท่า ส่งผลให้กล้ามเนื้อไหล่อักเสบ เกิดอาการปวดไหล่เฉียบพลันได้

2. กลุ่มผู้สูงอายุ 

กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายจะลดลง และเจ็บป่วยหรือมีโรคประจำตัวง่ายขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้ว กลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้จะเผชิญกับภาวะข้อไหล่อักเสบ ภาวะข้อไหล่เสื่อมตามวัย ภาวะข้อไหล่ติด ตลอดจนปวดไหล่เรื้อรัง


ปวดไหล่เรื้อรัง..ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้

ตามปกติแล้วอาการปวดไหล่จะเกิดขึ้นและบรรเทาลงภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ แต่หากใครที่มีอาการปวดไหล่ยกแขนไม่ขึ้น หรือปวดหัวไหล่ติดต่อกันยาวนานกว่า 6 สัปดาห์จะนับว่าเป็นอาการของการปวดไหล่เรื้อรัง

ทั้งนี้ หากพบว่าตนเองมีอาการปวดไหล่เรื้อรังก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะหากทิ้งไว้จะทำให้เคลื่อนไหวได้ลำบากขึ้นเรื่อยๆ เกิดอาการเส้นคอตึงปวดหัว ตลอดจนเส้นเอ็นฉีกฉาด ทางที่ดีควรรีบเข้ามาพบแพทย์ตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ 3 โดยอาจจะสังเกตจากอาการร่วมอื่นๆ เช่น กล้ามเนื้อหัวไหล่ลีบหรือบวมกว่าปกติ เป็นไข้ น้ำหนักลด หรือปวดไหล่ชาลงแขน


อาการปวดไหล่แบบไหนที่ควรพบแพทย์

ปวดไหล่ซ้าย

การที่ร่างกายมีความผิดปกติ ไม่ว่าจะส่วนใดส่วนหนึ่งล้วนส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ ปวดไหล่ตึงๆ หรือมีอาการดังต่อไปนี้ ให้รีบพบแพทย์ทันที

  • มีอาการปวดบริเวณไหล่ ไหล่ชาลงแขน มีเสียงเมื่อขยับแขน
  • ปวดไหล่ซ้ายจี๊ดๆ ปวดเป็นประจำ ปวดข้างซ้ายและปวดไหล่ขวาจี๊ดๆ พร้อมกันๆ หรือข้างใดข้างหนึ่ง ติดต่อกันนานกว่า 1 เดือน
  • หัวไหล่ตึง บวม
  • ปวดหัวไหล่ ยกแขนไม่ขึ้นหรือยกแขนได้ไม่เกินระดับไหล่
  • มีอาการไหล่ติด
  • มีอาการปวดไหล่ จนบางครั้งนอนไม่หลับ ต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก

การวินิจฉัยอาการปวดไหล่

ปวดไหล่ เกิดจาก

การวินิจฉัยอาการปวดไหล่จะเริ่มด้วยวิธีในเบื้องต้นคือ การสอบถามประวัติ การสอบถามประวัติอุบัติเหตุ ตลอดจนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยในบางรายจะวินิจฉัยอย่างละเอียด ดังนี้

การตรวจ MRI

MRI คือ การตรวจโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อระบุหรือวินิจฉัยถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวไหล่ การอักเสบของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ โดยวิธีนี้จะสามารถทำได้อย่างปลอดภัยและไม่ส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย

การตรวจ CT Scan

การตรวจด้วยวิธีนี้กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากจะได้ภาพจากการสแกนที่ละเอียดและชัดเจน อีกทั้งยังสามารถใช้ตรวจเฉพาะบริเวณได้ เช่น ตรวจหาบริเวณที่มีการปวดหัวไหล่ และตรวจหาบริเวณปวดอื่นๆ เช่น ปวดหัวข้างเดียว ได้อีกด้วย

การตรวจเส้นประสาทและกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า

วิธีนี้จะใช้ไฟฟ้าในการวัดการทำงานของเส้นประสาทส่วนปลายและกล้ามเนื้อในร่างกาย โดยจะเริ่มวัดจากสัญญาณไฟฟ้าบริเวณลำคอ และบริเวณที่มีอาการ จากนั้นจะวินิจฉัยถึงสาเหตุ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการการรักษาอย่างถูกวิธี

การตรวจพิเศษทางรังสีของข้อต่อ

การตรวจเอกซ์เรย์ข้อต่อ วิธีนี้จะมีการฉีดทึบรังสีเข้าไปยังบริเวณรอยต่อของกระดูกหรือของข้อ เช่น ข้อเข่า ข้อหัวไหล่ เพื่อให้เห็นถึงความผิดปกติเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูกอย่างชัดเจน ผ่านทางจอภาพเอกซ์เรย์ ก่อนจะรักษาอาการปวดไหล่อย่างถูกวิธี

การส่องกล้องในข้อกระดูก

หากแพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยเกี่ยวกับการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออ่อนด้วยวิธีอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน จะทำการส่องกล้องเข้าไปในกระดูก เพื่อถ่ายวิดีโอและนำมาหาความมผิดปกติในลำดับต่อไป บางครั้งก็จะทำการผ่าตัดร่วมด้วย


วิธีรักษาอาการปวดไหล่

ปวดไหล่เรื้อรัง

อย่างที่ทราบกันดีว่าหากมีอาการปวดไหล่เรื้อรัง จะต้องรีบเข้าพบแพทย์ แต่ทางที่ดีหากพบว่าตนเองมีอาการปวดหัวไหล่ ควรใช้วิธีแก้อาการปวดไหล่ขวาและไหล่ซ้าย ซึ่งขี้นอยู่กับระดับความรุนแรง ดังนี้

1. การประคบเย็นหรือประคบร้อน

ขณะที่มีอาการปวดไหล่เฉียบพลัน สามารถใช้การประคบร้อนหรือประคบเย็น ประคบบริเวณดังกล่าวเพียง 10-15 นาที ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวด ทำให้ระบบไหลเวียนโหลิตทำงานได้เป็นอย่างดี วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดไหล่เฉียบพลันหรือไม่รุนแรงมากนัก

2. การใช้ยาบรรเทาอาการปวด

ยาแก้ปวดไหล่ ยาแก้ปวดลดการอักเสบ หรือยาคลายกล้ามเนื้อ สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วๆ ไป เช่น Ibuprofen, Baclofen, Paracetamol, Dantrolene เป็นต้น

อย่างไรก็ดี วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้มีอาการปวดไหล่ไม่รุนแรงมากนักและผู้ที่มีอาการปวดไหล่เฉียบพลัน ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือเภสัชกรก่อนกินยาเสมอ

3. การทำกายภาพบำบัด

การทำกายภาพบำบัดด้วยการเคลื่อนไหว ในท่าที่ถูกต้อง หรือการบริหารตามคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด การดัดข้อ การอบนวดด้วยคลื่นเสียง หรือตามเทคโนโลยีการรักษา เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดไหล่เป็นระยะเวลานาน แต่ไม่รุนแรงและยังสามารถเคลื่อนไหวได้อยู่

4. การฉีดยารักษาอาการปวด

การฉีดยารักษาอาการปวดไหล่ แบ่งเป็น 2 วิธี ดังนี้

  • การฉีดโบท็อกสำหรับผู้ที่มีภาวะออฟฟิศซินโดรม

นอกจากจะฉีดโบท็อกไมเกรนและการฉีดเพื่อปรับรูปหน้าแล้ว การฉีดโบท็อกหรือโบท็อกออฟฟิศซินโดรม ยังสามารถรักษาอาการปวดคอ ปวดบ่า และปวดหัวไหล่ ตลอดจนอาการเกี่ยวกับออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างดี โดยวิธีนี้จะเหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหัวไหล่จากกล้ามเนื้อตึง การใช้งานข้อไหล่หรือท่านั่งที่ไม่เหมาะสม

ภาวะออฟฟิศซินโดรมมีอาการอย่างไร? อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ รู้จักออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) สาเหตุ อาการ รักษาหายไหม?

  • การฉีดสเตียรอยด์

การฉีดสเตียรอยด์จะมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบของบริเวณต่างๆ เช่น กล้ามเนื้อไหล่อักเสบ เส้นเอ็นอักเสบ เป็นต้น ดังนั้นวิธีการรักษาด้วยการฉีดสเตียรอยด์จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดไหล่จากเส้นเอ็นอักเสบและโรคข้ออักเสบ

5. การผ่าตัด

หากเผชิญกับอาการปวดไหล่จนถึงขั้นรุนแรง แพทย์อาจจะให้รักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งมี 2 วิธี ดังนี้

  1. วิธีการผ่าตัดส่องกล้อง ข้อดีคือ เนื้อเยื่อในร่างกายบาดเจ็บน้อย ใช้เวลาพักไม่นาน ฟื้นตัวเร็ว แผลมีขนาดเล็ก
  2. วิธีการผ่าตัดแบบเปิด ข้อดีคือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก

โดยแต่ละวิธีที่แพทย์เลือกผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการปวดหัวไหล่ อย่างไรก็ดีวิธีนี้จะเหมาะสำหรับผู้ที่รักษาโรคปวดหัวไหล่ด้วยวิธีการอื่นๆ แล้ว แต่ไม่ดีขึ้น


ท่าบริหารข้อไหล่เพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้น

แก้อาการปวดไหล่ขวา

ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาการเกิดภาวะไหล่ติดขัดหรือปัญหาเกี่ยวกับการปวดไหล่มากวนใจ สามารถออกกำลังกายด้วยท่าบริหารข้อไหล่ง่ายๆ ดังนี้

1. ท่าเคลื่อนไหวทุกทิศทาง

ยกแขนไปด้านหน้าเสมอหัวไหล่ค้างไว้ 1-10 วินาที 10 รอบ ให้ยกแขนไปด้านหลัง โดยยกให้สูงที่สุดค้างไว้ 1-10 วินาที 10 รอบ จากนั้นยกแขนไปด้าน กางแขนเสมอไหล่ ทำค้างและซ้ำเวลาเท่าเดิม ก่อนจะหุบแขนเข้าลำตัว หมุนไหล่บิดเข้าและออก ค้างไว้ 1-10 วินาทีสลับครั้งละ 10 รอบ

2. ท่าหมุนข้อไหล่

ให้ปล่อยแขนห้อยตรงๆ ก่อนจะหมุนเป็นวงกลม ประมาณ  10 รอบ พัก และทำซ้ำอีก 10 รอบก็จะช่วยลดอาการไหล่ตึงได้

3. ท่ายกไม้

ใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น ไม้หรือพลาสติกที่มีความยาว 2-3 เมตร ยืดและเหยียดแขนไปข้างหน้า โดยให้แขนทั้งสองข้างขนานกัน ก็จะช่วยแก้อาการปวดไหล่ขวาและซ้ายได้

4. ท่าแกว่งแขน

ถือของหนักครึ่งกิโลกรัม ก่อนจะเหวี่ยงแขนไปข้างหน้า ข้างหลัง และหมุนเป็นวงกลม 20 รอบ/วัน

5. ท่าชักรอก

ใช้แขนข้างที่ไม่ปวดดึงเชือกลง ให้ข้างที่ปวดไหล่ดึงเชือกขึ้น ค้างไว้ 1-10 วินาที จากนั้นทำซ้ำ 10 รอบ


แนวทางการป้องกันอาการปวดไหล่

หากพบว่าตนเองเป็นผู้ที่ทำกิจกรรมอย่างหนัก ใช้ข้อไหล่ เคยได้รับอุบัติเหตุจนซึ่งส่งผลให้เกิดอาการปวดไหล่ ตลอดจนเคยพบเจอกับหนึ่งในสาเหตุที่จำให้เกิดอาการเจ็บปวดบริเวณไหล่ อาจจะลองใช้แนวทางการป้องกันการปวดหัวไหล่ ดังนี้

  • ยืดกล้ามเนื้อ ออกกำลังกายด้วยท่าบริหาร เพื่อให้กล้ามเนือยืดหยุ่น ลดอาการเกร็งตัว ซึ่งนำมาถึงอาการบาดเจ็บหรือฉีกขาดได้
  • ปรับเปลี่ยนท่าทางและอิริยาบถท่านั่งหรือท่านอนให้เหมาะสม
  • ก่อนจะออกกำลังกายหรือใช้ร่างกายอย่างหนักให้วอร์มอัพและคูลดาวน์ เพื่อลดอาการบาดเจ็บและอาการปวดไหล่เสมอ
  • ระมัดระวังเรื่องการใช้ข้อไหล่ที่รุนแรง การออกกำลังกายหนักหรือหักโหม
  • หลีกเลี่ยงการเดินทางหรือการทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติบริเวณข้อหัวไหล่

ข้อสรุป

อาการปวดไหล่มักเกิดขึ้นในลุ่มวัยรุ่นวัยทำงานและกลุ่มผู้สูงอายุ โดยสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทางที่ดีควรปฏิบัติตามแนวทางการป้องกัน ออกกำลังกายด้วยท่าบริหารเพื่อให้ห่างไกลจากอาการปวดหัวไหล่ร้าวลงแขน แต่สำหรับผู้ที่มีอาการในเบื้องต้นแล้ว อาจจะต้องปรึกษากับทีมแพทย์โดยเร็ว

ทั้งนี้ หากใครที่กำลังมองหาว่ารักษาอาการปวดหัวไหล่หรืออาการของออฟฟิศซินโดรมที่ไหนดี เพียงแค่แอดไลน์ @ayaclinic หรือโทร 090–970-0447 ก็จะสามารถรับคำปรึกษา พุดคุย ตลอดจนนัดวันรักษากับทาง BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทางชั้นนำ ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลได้ทันที ที่สำคัญที่นี่ยังสามารถรักษาไมเกรนด้วยวิธีทางการแพทย์ที่ปลอดภัยอีกด้วย

แอดไลน์


เอกสารอ้างอิง

Benjamin Widmer and George S. Athwal. (2018).

Shoulder Pain and Common Shoulder Problems. Retrieve from https://orthoinfo.aaos.org/en/diseases–conditions/shoulder-pain-and-common-shoulder-problems/