แมกนีเซียมช่วยบรรเทาไมเกรน ทานอาหารที่มีแมกนีเซียมสูงมีอะไรบ้าง?
ในยุคปัจจุบัน พบผู้ป่วยเป็นโรคไมเกรนหรือผู้ที่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง ปวดหัวไมเกรนจำนวนมาก เนื่องจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นการรักษาสุขภาพของตนเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นไมเกรนนั้น ควรกินอาหารที่มีประโยชน์และเลือกรับแร่ธาตุและสารอาหารอย่างแมกนีเซียมแก้ไมเกรน หรืออาการปวดหัวก็จะทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด
เลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ
- โรคไมเกรน..ปัญหากวนใจวัยทำงาน
- รู้จักแร่ธาตุแมกนีเซียม (Magnesium)
- แมกนีเซียมมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
- ประโยชน์ของแมกนีเซียม
- แมกนีเซียมช่วยรักษาไมเกรนได้อย่างไร
- ปริมาณแมกนีเซียมที่จำเป็นในแต่ละวัน
- อาหารที่มีแมกนีเซียมสูงมีอะไรบ้าง
- ข้อควรระวังในการทานแมกนีเซียม
- การรักษาไมเกรนทางการแพทย์
- แนวการป้องกันโรคไมเกรน
- รักษาไมเกรนที่ไหนดี
- ข้อสรุป
โรคไมเกรน..ปัญหากวนใจวัยทำงาน
ไมเกรน หรืออาการปวดหัวเรื้อรัง มีสาเหตุมาจากทั้งปัจจัยภายในคือ พันธุกรรมและการทำงานผิดปกติของหลอดเลือด และปัจจัยภายนอก เช่น สภาพแวดล้อม การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียดจากการเรียนและการทำงาน อาหารกระตุ้นไมเกรน ตลอดจนสิ่งเร้าต่าง ๆ
อาการส่วนใหญ่ที่พบในผู้ป่วยไมเกรนนั้นมักจะปวดหัวเรื้อรัง ปวดหัวคิ้ว ปวดหัวข้างซ้าย ปวดหัวข้างขวาปวดหัวท้ายทอย หรือ ไมเกรนขึ้นตา
ทั้งนี้ในผู้ป่วยบางรายก็จะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ไวต่อแสงและสี ไวต่อสิ่งเร้า ตาพร่ามัว ไม่สามารถขับรถยนต์ได้ เห็นแสงวูบวาบคล้ายแฟลชจากโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นอาการที่ทำให้เกิดปัญหากวนใจใครหลาย ๆ คน อย่างไรก็ตาม หากเลือกรักษาไมเกรนโดยอาจจะเลือกกินสารอาหารประเภทแมกนีเซียม ไมเกรนจะลดลงตามลำดับ
รู้จักแร่ธาตุแมกนีเซียม (Magnesium)
แมกนีเซียม (Magnesium) ที่เรารู้จักกันนั้นเป็นแร่ธาตุและสารอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อร่างกาย ส่วนใหญ่พบที่บริเวณกระดูก ในเซลล์เนื้อเยื่อหรือกล้ามเนื้อ โดยแมกนีเซียมนี้จำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์มากกว่า 300 ชนิด ทำหน้าที่ช่วยให้อวัยวะและระบบต่าง ๆ ทำงานได้เป็นอย่างดี
แต่ถ้าร่างกายขาดแมกนีเซียมหรือได้รับไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลกระทบต่ออวัยวะและการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกายแทน รวมถึงอาจจะก่อให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรน แมกนีเซียมจึงเป็นหนึ่งในแร่ธาตุและสารอาหารที่สำคัญอย่างยิ่ง
หนึ่งในประโยชน์ของแมกนีเซียม คือ เมื่อทานแมกนีเซียม ไมเกรนจะช่วยลดอาการปวดหัวได้ เพียงแค่เลือกทานอาหารที่มีแมกนีเซียมสูง ซึ่งส่วนใหญ่พบได้ในอาหารประเภทถั่ว ดาร์กช็อกโกแลต ผลิตภัณฑ์จากนมในรูปแบบต่าง ๆ ปลาที่มีไขมันสูง ตลอดจนเมล็ดพืชผักต่าง ๆ
แมกนีเซียมมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
รู้จักแร่ธาตุแมกนีเซียมกันไปแล้วว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่จริง ๆ นั้นแมกนีเซียมก็สามารถแบ่งออกได้อีก 4 ประเภท ดังนี้
1. แมกนีเซียมออกไซด์ (Magnesium Oxide)
แมกนีเซียมออกไซด์หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แมกนีเซียมแก้ไมเกรน เนื่องจากมีปริมาณแมกนีเซียมสูงและสามารถใช้เสริมไมเกรนเข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งรักษาไมเกรนหรืออาการปวดหัวได้
2. แมกนีเซียมซัลเฟต (Magnesium Sulfate)
แมกนีเซียมซัลเฟตนับว่าเป็นแร่ธาตุและอาหารที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เป็นอย่างดี มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
3. แมกนีเซียมคาร์บอเนต (Magnesium Carbonate)
แมกนีเซียมคาร์บอเนตหรือเกลืออนินทรีย์ผงผลึกสีขาว มีประโยชน์หลากหลาย โดยเฉพาะ ในทางการแพทย์ที่นิยมนำใช้เป็นยาลดกรดและใช้ประกอบวิตามิน เพื่อเสริมสร้างแร่ธาตุ เมื่อร่างกายได้รับแมกนีเซียม ไมเกรนก็จะลดลงตามลำดับ
4. แมกนีเซียมคลอไรด์ (Magnesium Chloride)
มักนำมาใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารประกอบแมกนีเซียมโดยแร่ธาตุชนิดนี้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ปริมาณมาก สามารถกระตุ้นการขับถ่ายได้ แต่ในการใช้งานด้านอื่น ๆ ก็มีการนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารบางประเภท ทำอุตสาหกรรมสิ่งทอ หรือทำวัตถุกันไฟอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่เลือกทานอาหารที่ดี รับแร่ธาตุแมกนีเซียม ไมเกรนจะลดลง อาการปวดหัวจะดีขึ้น นอกจากนี้ประโยชน์ของแมกนีเซียมยังมีส่วนช่วยในการทำงานของอวัยวะและระบบต่าง ๆ ตลอดจนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ได้อีกด้วยเช่นกัน
ประโยชน์ของแมกนีเซียม
อย่างที่ทราบกันดีว่าประโยชน์ของแมกนีเซียมนั้นมีหลากหลายข้อ แต่อาจจะมีบางข้อใครหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อน ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลมาฝากทุกคน ดังนี้
1. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
ดังที่กล่าวมาในข้างต้น แมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบสำคัญและพบได้ในดระดูก ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน ประโยชน์ของแมกนีเซียมอันดับต้น ๆ เลยคือ ทำให้สุขภาพของฟันและกระดูกแข็งแรง
2. ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท
หนึ่งในการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มที่ระบบประสาท ดังนั้นจึงการทานแมกนีเซียมหรืออาหารที่มีแมกนีเซียมสูงจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทให้ดีและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่าง เช่น หากมีอาการซึมเศร้า ปวดหัวจากความเครียด ปวดไมเกรน เมื่อทานแมกนีเซียมจะบรรเทาอาการเหล่านี้ได้
3. ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและหลอดเลือด
อาการปวดหัวไมเกรนมักเป็นสิ่งที่กวนใจใครหลาย ๆ คน แต่ปัจจุบันจากการวิจัยพบว่าผู้ป่วยไมเกรนนั้นมีแนวโน้มที่จะขาดแมกนีเซียมมากกว่าผู้อื่น ดังนั้นจึงควรจะทานแมกนีเซียม ไมเกรนก็จะบรรเทาลง เนื่องจากแมกนีเซียมจะช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและหลอดเลือดให้กลับมาทำงานได้อย่างปกตินั่นเอง
แมกนีเซียมช่วยรักษาไมเกรนได้อย่างไร
หลาย ๆ คนอาจจะเกิดความสงสัยว่าแล้วแมกนีเซียมแก้ไมเกรนได้อย่างไร มีประโยชน์อย่างไร ช่วยอะไรได้บ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาฝากเช่นเคย ถ้าพร้อมแล้วตามไปอ่านต่อด้านล่างได้เลย
เนื่องจากไมเกรนนั้นมีสาเหตุหนึ่งมาจากการทำงานของหลอดเหลือดที่ผิดปกติ ซึ่งจากงานวิจัยเกี่ยวกับโภชนาการของแมกนีเซียมของ รศ.ดร. ทรงศักดิ์ ศรีอนุชาต พบว่าการใช้แมกนีเซียมช่วยรักษาไมเกรนได้ รวมถึงอาการปวดหัวจะลดลงได้อย่างชัดเจน หากทานแมกนีเซียมหรืออาหารที่มีแมกนีเซียมสูง
ในปริมาณและระยะเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากแมกนีเซียมจะทำงานร่วมกับแคลเซียม ซึ่งมีส่วนในการทำให้การหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ โดยแคลเซียมทำงานได้อย่างปกติ ในขณะเดียวกันแมกนีเซียมก็เป็นแหล่งพลังงานที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ดังนั้น แมกนีเซียมจึงมีผลยับยั้งกระบวนการในการเกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้นั่นเอง
ปริมาณแมกนีเซียมที่จำเป็นในแต่ละวัน
นอกจากทานแมกนีเซียมแล้วไมเกรนจะลดลงแล้ว ประโยชน์ของแมกนีเซียมยังมีมากมาย แต่หากทานแมกนีเซียมในปริมาณที่ไม่เหมาะ อาจจะน้อยเกินไปหรือมากเกินกว่าที่ร่างกายจะได้รับก็อาจจะส่งผลเสียแทนได้ ดังนั้นเราจึงควรเลือกทานแมกนีเซียมให้พอดี ดังนี้
- ผู้หญิงควรได้รับแมกนีเซียมวันละ 310 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้หญิงมีครรภ์และผู้หญิงให้นมบุตรควรได้รับวันละ 350 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้ชายอายุต่ำกว่า 30 ปีควรได้รับแมกนีเซียม 400 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้ชายอายุมากกว่า 30 ปีควรได้รับแมกนีเซียม 420 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี ควรได้รับวันละ 60-70 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 2-7 ปี ควรได้รับวันละ 150 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 7-10 ปี ควรได้รับวันละ 250 มิลลิกรัม/วัน
ปริมาณแมกนีเซียมที่จำเป็นในแต่ละวัน
สำหรับผู้ป่วยไมเกรนที่ร่างกายต้องการเพิ่มแมกนีเซียม ไมเกรนหรืออาการปวดหัวจะได้บรรเทาหรือลดลง อาจจะต้องเลือกทานอาหารที่มีแมกนีเซียมสูง ดังนี้
1. ผักใบเขียว (Leafy Greens)
อย่างที่ทราบกันดีว่าผักนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย เช่นเดียวกันกับผักใบเขียว เช่น ผักเคล ผักโขม คะน้า บรอกโคลี ปวยเล้ง ผักสวิสชาร์ด หรือตำลึง ผักพื้นบ้านที่หาได้ง่าย ๆ ก็ล้วนมีแมกนีเซียมสูง นับว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปวดหัวไมเกรนจากธรรมชาติ
สำหรับผักใบเขียวนั้นมีแมกนีเซียมสูงถึง 150-157 มิลลิกรัม เช่น ปวยเล้งปรุงสุก 1 ถ้วยให้แมกนีเซียมประมาณ 157 มิลลิกรัม ผักสวิสชาร์ดต้มสุก 1 ถ้วย ให้แมกนีเซียมประมาณ 154 มิลลิกรัม เป็นต้น
2. ถั่วและเมล็ดพืช (Nuts and Seeds)
หลาย ๆ เมนูที่เราได้ทานกันนั้นก็มีถั่วและเมล็ดพืชเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว หรือบางคนอาจจะกินเป็นขนมหรือของว่างก็นับว่าเป็นขนมที่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นอัลมอนด์ ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา ถั่วลูกไก่ เมล็ดฟักทอง หรือควีนัว นับว่าเป็นอาหารที่มีแมกนีเซียมสูง ที่ลดอาการปวดหัวไมเกรนได้แน่นอน
สำหรับถั่วและเมล็ดพืชนั้นมีแมกนีเซียมประมาณ 80-150 กรัม เช่น ถั่วดำสุก 1 ถ้วยให้แมกนีเซียมประมาณ 120 มิลลิกรัม อัลมอลด์ปริมาณ 28 กรัม ให้แมกนีเซียมประมาณ 80 มิลลิกรัม เป็นต้น
3. อะโวคาโด (Avocado)
อะโวคาโดถือเป็นอีกหนึ่งผลไม้ยอดนิยมที่มีสารอาหาร คุณค่าทางโภชนาการ และเป็นอาหารที่มีแมกนีเซียมสูง สามารถบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้
โดยสามารถเลือกทานเป็นผลไม้เพิ่มความสดชื่น ปั่นเป็นน้ำผลไม้หอม ๆ หรือจะประกอบเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร เช่น สลัด แซนด์วิช ก็ได้เช่นกัน โดยอะโวคาโด 1 ลูกจะมีแมกนีเซียมสูงถึง 82 มิลลิกรัม
4. เต้าหู้ (Tofu)
เนื่องจากเต้าหู้ทำมาจากถั่วเหลือง แน่นอนว่าจะต้องมีแคลเซียมและแมกนีเซียมแก้ไมเกรนสูงไม่แพ้อาหารชนิดอื่น ๆ ที่สำคัญเต้าหู้ยังสามารถหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพงมากนัก อีกทั้งสามารถนำไปแปรรูปทำเป็นอาหารได้หลากหลาย รับรองว่ากินได้ไม่มีเบื่อ แถมยังมีสุขภาพที่ดี ลดอาการปวดหัวได้อีกด้วย
5. ปลาไขมันสูง (Fatty Fish)
นอกจากปลาจะมีโปรตีนจำนวนมากแล้ว ปลาไขมันสูง เช่น ปลากะพง ปลาเก๋า ปลาทู ปลาทับทิม ปลาแซลมอน ยังมีแมกนีเซียมสูงอีกด้วย ที่สำคัญปลาเหล่านี้สามารถหาทานได้ง่าย ไม่ว่าจะนำมาทำเมนูอาหารใด ๆ ก็อร่อย มีแมกนีเซียมสูง ซึ่งจะบรรเทาอาการปวดหัวเรื้อรังและไมเกรนได้แน่นอน
สำหรับปลาไขมันสูงนั้นมีแมกนีเซียมประมาณ 50-100 กรัม เช่น ปลาแซลมอนประมาณ 178 กรัมให้แมกนีเซียมสูงถึง 53 มิลลิกรัม หรือปลาทูประมาณ 85 กรัม ให้แมกนีเซียมสูงถึง 82 มิลลิกรัม
6. ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ (Low-fat Milk Products)
ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำมีประโยชน์และสารอาหารจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน B12 วิตามิน B2 แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไอโอดีน รวมถึงแมกนีเซียมที่สูง
ซึ่งถือเป็นสิ่งที่หาซื้อได้ง่าย สะดวก สามารถดื่มได้ทุกวัน เพื่อสร้างพลังงาน เสริมสร้างแมกนีเซียมแก้ไมเกรนให้แก่ร่างกาย ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้ สำหรับผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ 1 แก้วมีแมกนีเซียมประมาณ 24–27 มิลลิกรัม
ข้อควรระวังในการทานแมกนีเซียม
อย่างที่กล่าวในข้างต้นหากทานแมกนีเซียมมากเกิดไปจะส่งผลเสียต่าง ๆ ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์หรือระวังในการทานแมกนีเซียมแก้ไมเกรน เพื่อป้องกันผลเสียหรือผลข้างเคียงที่จะตามมา
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดเมื่อทานแมกนีเซียมมากเกินไป
เมื่อทานแมกนีเซียมมากเกินไปจะส่งผลให้หัวใจเต้นผิดปกติ ท้องร่วง ไตพิการ ความดันโลหิตตกลง สับสน หายใจช้าลง อาการรุนแรงยิ่งขึ้น ตลอดจนเสียชีวิตได้ ในขณะเดียวกันผู้ป่วยในกลุ่มอาการอยู่ไม่สุขบางรายมีระดับแมกนีเซียมในร่างกายอยู่แล้วอาจจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทาน
กลุ่มยาที่อาจเกิดปฏิกริยากับแมกนีเซียม
แม้ว่าการทานแมกนีเซียม ไมเกรนจะลดลง แต่หากผู้ป่วยทานยาร่วมกับตัวอื่น อาจจะต้องระวังมากขึ้น เนื่องจากเกิดปฏิกิริยารุนแรงกับแมกนีเซียม และก่อให้เกิดอันตรายได้ โดยยาที่ควรระวังมีดังนี้
- ยาปฏิชีวนะอะมิโนไกลโคไซด์ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางกล้ามเนื้อ
- ยาปฏิชีวนะเตตระไซคลิน หากทานร่วมกับแมกนีเซียมจะลดประสิทธิภาพของยา
- ยาปฏิชีวนะควิโนโลน หากทานร่วมกับแมกนีเซียมจะลดประสิทธิภาพของยา
- ยากลุ่มไบฟอสโฟเนตส์ หากทานร่วมกับแมกนีเซียมจะลดประสิทธิภาพของยา
- ยาสำหรับความดันโลหิตสูง อาจทำให้ความดันเลือดต่ำเกินไป
- ยาคลายกล้ามเนื้อ อาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการคลายกล้ามเนื้อ
- ยาขับน้ำ เพิ่มระดับแมกนีเซียมในร่างกายจนมีมากเกินไป
การรักษาไมเกรนทางการแพทย์
ไม่เพียงแต่การรักษาแบบแมกนีเซียมแก้ไมเกรนที่เห็นผลดี แต่ปัจจุบันการป่วยเป็นไมเกรนหรือมีอาการปวดหัวรูปแบบต่าง ๆ นั้นก็มีวิธีการรักษาทางการแพทย์อื่น ๆ อีก ดังนี้
1. การทานยาแก้ปวดไมเกรน
ยาไมเกรนนั้นมีหลายชนิด หลายกลุ่มยา หากผู้ป่วยคนไหนมีอาการปวดหัวเรื้อรังหรือปวดหัวเป็นประจำ ก็สามารถเข้าไปปรึกษา ตรวจไมเกรน ตลอดจนขอคำแนะนำในการทานยาได้ทันที
2. การฉีดยาแก้ไมเกรน
แม้ฟังชื่อแล้วอาจจะดูน่ากลัว แต่ความจริงแล้วนั้นการ ฉีดยาไมเกรนไม่น่ากลัวอย่างที่คิด และสามารถบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้เป็นอย่างดี เพียงแค่ฉีดยาไมเกรน (Aimovig) 1 ครั้ง/1 เดือน
3. การฝังเข็มไมเกรน
การฝังเข็มไมเกรน เป็นวิธีทางธรรมชาติที่จะช่วยในเรื่องของระบบไหลเวียนโลหิตให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดอาการปวดหัวได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
4. การฉีดโบท็อกไมเกรน
การฉีดโบท็อกไมเกรนเพียงแต่จะช่วยเสริมความงามเท่านั้น แต่ยังสามารถรักษาอาการปวดหัวไมเกรนได้ด้วย อีกทั้งวิธีดังกล่าวนี้ยังได้รับความนิยมในต่างประเทศและในประเทศไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากปลอดภัย ผลข้างเคียงในการรักษาน้อยมาก หากเทียบกับวิธีการรักษาไมเกรนแบบอื่น ๆ
การฉีดโบท็อกไมเกรนจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ในขณะเดียวกันสารในโบท็อกก็จะยับยั้งอาการปวดหัวได้ ดังนั้นเพียงแค่ฉีดโบท็อกไมเกรนชนิดเอ บริเวณฉีดบ่า, ต้นคอ, หน้าผาก, คิ้ว และจะมีการฉีดที่บริเวณรอบศีรษะ 31 จุด สำหรับการฉีดโบท็อกไมเกรนแค่ 1 ครั้ง ก็จะออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วและเห็นผลลัพธ์ยาวนานกว่า 4-6 เดือน ซึ่งนับว่ามีประสิทธิภาพสูง
แนวการป้องกันโรคไมเกรน
นอกจากการรับแร่ธาตุแมกนีเซียม จะสามารถทำให้อาการไมเกรนลดลงแล้ว ยังมีแนวทางการป้องกันไมเกรนนั้นมีหลากหลายวิธี เช่น
- เลี่ยงการทานอาหารกระตุ้นไมเกรน เช่น เนย ชีส เนยสัตว์แปรรูป กล้วยและผลไม้ตระกูลซีตรัส เป็นต้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้พักและมีพลังงานในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างเต็มที่
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากการขาดน้ำเป็นสาเหตุหนึ่งของการปวดหัวไมเกรน
- ทำกิจกรรมที่สร้างความผ่อนคลาย เปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม กล่าวคือปรับเปลี่ยนการ…
- ใช้ สมุนไพรรักษาไมเกรน นอกจากจะไร้สารพิษแล้ว ยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย
- วิธีนวดแก้ปวดไมเกรนก็สามารถช่วยในการปรับสมดุล สร้างความผ่อนคลาย ทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตดีขึ้น
รักษาไมเกรนที่ไหนดี
สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นไมเกรน อาจจะเกิดคำถามที่ว่ารักษาไมเกรนที่ไหนดี? วันนี้เราจึงนำปัจจัยต่าง ๆ ในการพิจารณาสถานที่รักษาไมเกรนมาฝาก ดังนี้
- พิจารณาค่าใช้จ่ายที่สามารถจ่ายไหว
- พิจารณาจากความปลอดภัยและวิธีรักษา
- พิจารณาจากความรุนแรงของอาการ
- พิจารณาจากความสะดวกในการเข้ารักษา เช่น การเดินทาง การติดต่อสอบถาม เป็นต้น
รักษาไมเกรนกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ BTX Migraine Center
ซึ่งหากกล่าวถึงสถานที่รักษาไมเกรนที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทางก็เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย เนื่องจากมีเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย ปลอดภัย และได้รับการรับรอง
อีกทั้งยังครอบคลุมการรักษาไมเกรนและการให้คำปรึกษาในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทานแมกนีเซียม ไมเกรนหรืออาการปวดหัวจะลดลง การฝังเข็มแบบปลอดภัย ตลอดจนการแนะนำวิธีการรักษาไมเกรนเบื้องต้นอีกด้วย
ข้อสรุป
แมกนีเซียมนั้นนับว่าเป็นแร่ธาตุและสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย มีส่วนช่วยในการรักษาอาการปวดหัว รวมถึงการทานแมกนีเซียม ไมเกรนก็จะลดลง ดังนั้นผู้ที่ป่วยเป็นไมเกรนจึงควรเลือกรับประทานอาการที่ดี รวมถึงเลือกทานอาหารที่มีแมกนีเซียมสูงเป็นส่วนประกอบด้วย
แต่หากสนใจการรักษาไมเกรนในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การทานยาไมเกรน การฝังเข็มไมเกรน การฉีดโบท็อกไมเกรนก็สามารถติดต่อ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทาง ผ่านทางไลน์ @ayaclinic หรือโทร 090–970-0447
โดยให้บริการตั้งแต่การให้คำปรึกษา การตรวจไมเกรน ตลอดจนการรักษาไมเกรนด้วยเทคโนโลยีและการรักษาที่ปลอดภัยจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เอกสารอ้างอิง
Magnesium in Prevention and Therapy .Uwe Gröber, Joachim Schmidt, Klaus Kisters 2015.Magnesium in Prevention and Therapy – PubMed (nih.gov)
An update on magnesium and bone health.. 2021 Aug;34(4):715-736. doi: 10.1007/s10534-021-00305-0. Epub 2021 May 6.An update on magnesium and bone health – PubMed (nih.gov)