เด็กปวดหัวแบบไหนที่พ่อแม่ต้องระวัง อาการไมเกรนในเด็กที่ไม่ควรละเลย
อาการปวดหัวมีหลายรูปแบบ เช่น ปวดหัวไมเกรน ปวดหัวจากอาการเจ็บป่วย ปวดจากการได้รับอุบัติเหตุ ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ใช่เพียงพบในผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังพบเจอได้บ่อยในวัยเด็กเป็นประจำได้เช่นกัน
ดังนั้น การที่เด็กปวดหัวผู้ใหญ่จึงไม่ควรละเลย แต่ควรพาไปพบแพทย์หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เพื่อตรวจรักษาโรคปวดหัวในเด็กหรือสาเหตุของอาการก่อนจะรักษาให้ถูกวิธี
สารบัญบทความ
- เด็กปวดหัว
- อาการปวดหัวในเด็ก
- สาเหตุอาการเด็กปวดหัว
- ลูกบ่นปวดหัว…อันตรายไหม
- เด็กปวดหัวแบบไหน ควรพบแพทย์
- การวินิจฉัยอาการเด็กปวดหัว
- วิธีรักษาอาการเด็กปวดหัวไมเกรน
- เด็กปวดหัว ดูแลอย่างไร
- แนวทางการป้องกันอาการปวดหัวในเด็ก
- ข้อสรุป
เด็กปวดหัว
อาการปวดหัวในเด็กมักพบได้ในเด็กหลายๆ ช่วงวัย โดยสามารถเกิดได้จากหลายๆ สาเหตุ ซึ่งจากการศึกษาและวิจัย จะแบ่งอาการเด็กปวดหัวเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มอาการปวดหัวแบบปฐมภูมิ (Primary Headache) และอาการปวดหัวแบบทุติยภูมิ (Secondary Headache)
โดยลักษณะอาการของทั้ง 2 กลุ่มจะแตกต่างกันออกไป เริ่มตั้งแต่การปวดเล็กน้อย ปวดหัวข้างเดียว ปวดรอบๆ ปวดหน้าผาก ซึ่งก็ล้วนส่งผลให้ลูกบ่นปวดหัวบ่อยๆ และกลายเป็นปัญหาที่น่ากังวลใจของเราแม่ๆ หรือผู้ปกครองได้ ซึ่งหากละเลยหรือปล่อยทิ้งไว้ก็อาจจะส่งผลให้นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรังหรืออาการรุนแรงจากโรคต่างๆ ตามมาได้
อาการปวดหัวในเด็ก
อย่างที่ทราบกันดีว่าอาการปวดหัวเด็กและผู้ใหญ่เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ในเบื้องต้นอาการเด็กปวดหัวมักมีดังต่อไปนี้
- ปวดหัวจนเด็กนอนร้องไห้
- ปวดจนตื่นนอนกลางดึก
- ไม่สบายตัว กระสับกระส่าย
- ไอแล้วปวดหัว ปวดรุนแรงขณะการเบ่ง การขยับตัว หรือตื่นนอนแล้วปวดหัว
อย่างไรก็ดี นอกจากอาการในข้างต้นแล้ว เด็กบ่นปวดหัวหลายๆ คนก็จะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ดังนี้
- อาเจียนพุ่ง
- ซึม อ่อนเพลียหรืออ่นแรง
- ชัก
- ตาพร่ามัวหรือเห็นภาพซ้อน
- ตาเข
- เคลื่อนไหวผิดปกติ
หากพบว่าเด็กบ่นปวดหัวพร้อมกับมีอาการร่วม อาจจะต้องรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็ว เพื่อหาสาเหตุของอาการที่แท้จริง ตลอดจนการรักษาอย่างถูกวิธี
สาเหตุอาการเด็กปวดหัว
อาการเด็กปวดหัวแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มอาการปวดหัวแบบปฐมภูมิ (Primary Headache) และอาการปวดหัวแบบทุติยภูมิ (Secondary Headache) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
อาการปวดหัวแบบปฐมภูมิ (Primary Headache)
อาการปวดหัวเด็กแบบปฐมภูมิ คือ อาการปวดหัวที่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจนหรือปวดแบบไม่มีสาเหตุ เช่น ปวดหัวแบบตึงเครียด ปวดหัวไมเกรน โดยจากการศึกษาพบว่าส่วนใหญ่แล้วอาการปวดหัวในกลุ่มนี้มักเกิดบ่อยในเด็ก อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะจัดเป็นกลุ่มอาการปวดหัวแบบไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็มีการศึกษาพบว่ามักได้รับการถ่ายทอดผ่านพันธุกรรม กล่าวคือ คนในครอบครัวคนใดคนนึงเคยมีอาการปวดหัวไมเกรนมาก่อน
นอกจากนี้ ใครที่ลูกบ่นปวดหัวบ่อยๆ หรือลูกปวดหัวตรงหน้าผาก อาจจะต้องพาไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียด เนื่องจากอาการไมเกรนในเด็กยังมีอาการไมเกรนขึ้นตา คลื่นไส้ ไวต่อแสงและสี เห็นแสงสีวูบวาบ ตลอดจนเวียนหัว
อาการปวดหัวแบบทุติยภูมิ (Secondary Headache)
อาการปวดหัวแบบทุติยภูมิ คือ อาการปวดหัวแบบที่ทราบสาเหตุหรือมีสาเหตุมาจากโรคไม่ร้ายแรง โดยส่วนใหญ่แล้วมักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของโครงสร้างบริเวณคอส่วนบนไปจนบริเวณรอบหัว หรือในบางครั้งก็มีสาเหตุมาจากโรคต่าง ๆ ยกตัวอย่างอาการ เช่น ปวดหัวไซนัส ปวดหัวเนื้องอก เลือดออกในสมอง ตลอดจนภาวะความดันในสมองสูง
ทั้งนี้ เด็กปวดหัวในกลุ่มปวดหัวแบบทุติยภูมิจะไม่ค่อยพบ แต่หากมีอาการปวดหัวรุนแรงกว่าปกติก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ แต่ควรรีบเข้าพบแพทย์ทันที
ลูกบ่นปวดหัว…อันตรายไหม
อาการปวดหัวในเด็กส่วนใหญ่ไม่รุนแรง แต่หากลูกบ่นปวดหัวบ่อยๆ แล้วมีอาการดังต่อไปนี้ ให้รีบพบแพทย์ทันที เพื่อความปลอดภัย
- อาการปวดหัวรุนแรงทันที
- มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ชัก อ่อนแรง ซึม เดินเซ เห็นภาพซ้อน
- อาการปวดหัวเรื้อรังที่เป็นนานกว่า 15 วัน
- อาการปวดหัวที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
- ปวดหัวมากจนเกิดอาการอาเจียน
- ปวดหัวจนตื่นกลางดึกบ่อยๆ
เด็กปวดหัวแบบไหน ควรพบแพทย์
เด็กปวดหัวพบได้หลายๆ อาการตามแต่ละบุคคล แน่นอนว่าแต่ละอาการมีสาเหตุและอาการที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
1. เด็กปวดหัวจนตื่นจากการนอนหลับ
ตามปกติแล้ว คนทั่วไปควรพักผ่อนอย่างน้อย 6-9 ชั่วโมงต่อวัน เช่นเดียวกับเด็กๆ ที่ร่างกายควรได้รับพักผ่อนหลายชั่วโมงทั้งในตอนกลางวันและกลางคืน แต่เด็กยังสามารถตื่นนอนตอนกลางคืนได้บ่อยๆ
ทั้งนี้ การที่เด็กตื่นนอนตอนกลางคืนเพราะปวดหัว จะส่งผลให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดความผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตหรือสุขภาพของเด็กในระยะยาว และยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคเครียด โรคไมเกรนในเด็ก หรือโรคเกี่ยวกับสมอง
2. ปวดหัวจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
ถ้าลูกบ่นปวดหัวบ่อยๆ หรือลูกปวดหัวตรงหน้าผากจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน แสดงให้เห็นว่าอาการปวดหัวในเด็กรุนแรงมากกว่าปกติ เช่น เกิดอาการซึม อ่อนเพลีย ไม่ร่าเริง ไม่มีสมาธิในการเรียน ไม่ค่อยอยากทำกิจกรรม ก็ควรให้พบแพทย์อย่างรวดเร็วเพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจน หามีอาการมากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์
3. ปวดหัว ตาพร่า
หนึ่งในลักษณะอาการของการปวดหัว ตามัว หรือตาพร่า สามารถเกิดได้จากอาการปวดหัวจากความเครียด เนื่องจากกล้ามเนื้อเกร็งตัวทั้งในบริเวณคอ ท้ายทอย หรือบริเวณต่างๆ รอบๆ
ทั้งนี้อาจจะสังเกตจากอาการร่วมอื่นๆ เช่น เวียนหัว ลูกบ่นปวดหัวบ่อยๆ มีปัญหาด้านการทรงตัวหรือการเดิน ตาพร่ามัว มองเห็นภาพไม่ชัดที่ไม่ได้เกิดจากปัญหาทางสายตา หากเป็นบ่อยขึ้น ทางที่ดีหากพบว่ามีอาการปวดหัวเด็กเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์อย่างทันที
4. ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน
โรคไมเกรนในเด็กจะมีลักษณะคล้ายๆ กับผู้ใหญ่ คือ ปวดหัวคลื่นไส้ ปวดตุบๆ ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นประมาณ 1-2 ชั่วโมง โดยในบางครั้งนอกจากอาการปวดหัวในเด็กแล้ว ยังสามารถเกิดอาการตาลาย ไวต่อสิ่งเร้าทั้งสี แสง และเสียง อาเจียน หรือมีอาการไมเกรนออร่าร่วมด้วย
ทั้งนี้ หากเด็กบ่นปวดหัวและมีอาการเจียนบ่อยมากขึ้น ให้รีบพาไปพบแพทย์โดยเร็ว เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคปวดหัวในเด็กอื่นๆ ร่วมด้วย
5. มีไข้ร่วมกับอาการปวดหัว
อาการเป็นไข้พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย และสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่หากพบว่าเด็กมีไข้พร้อมกับมีอาการปวดหัว ผื่นขึ้น คอแข็ง หรือเวียนหัว อาจจะเป็นสัญญาณเตือนของอาการติดเชื้อ เช่น ติดเชื้อแบคทีเรีย โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ลักษณะอาการเด็กปวดหัวนี้แม้ว่าจะเป็นในระยะเวลาสั้นๆ ก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ แต่ควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
การวินิจฉัยอาการเด็กปวดหัว
เมื่อพบว่าเด็กบ่นปวดหัว และมีอาการดังที่กล่าวมาในข้างต้น ทางที่ดีควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียดและรู้เท่าทันโรคปวดหัวในเด็ก โดยสามารถทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย
เมื่อเข้าตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เริ่มแรกแพทย์จะตรวจสอบประวัติทางการแพทย์และการรักษาที่ผ่านมา โดยการสอบถามสอบรายละเอียดของอาการปวดหัวที่พบว่ามีลักษณะอาการอย่างไร พฤติกรรมที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง ประวัติคนในครอบครัว ความรุนแรงของอาการ และอื่นๆ จากนั้นจะทำการตรวจร่างกายทั่วๆ ไปในเบื้องต้นทันที
2. การตรวจ CT Scan
การตรวจ CT Scan เป็นการฉายรังสีเอกซ์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย จากนั้นจะแสดงภาพฉายผ่านคอมพิวเตอร์ โดยภาพจะมีความชัดเจน เห็นในมุม 3 มิติ วิธีนี้จึงนิยมใช้ในการตรวจหาเนื้องอก หลอดเลือด หรือความผิดปกติของกระดูก หรือแม้แต่อาการปวดหัวเด็ก
3. การตรวจ MRI
การตรวจ MRI จะใช้สนามแม่เหล็กในการตรวจส่วนต่างๆ ในร่างกาย จากนั้นจะประมวลภาพและโชว์ผลลัพธ์ผ่านคอมพิวเตอร์อย่างละเอียด ชัดเจน เห็นถึงความผิดปกติได้อย่างง่ายๆ
วิธีรักษาอาการเด็กปวดหัวไมเกรน
วิธีรักษาอาการเด็กปวดหัว ไม่ว่าจะเป็นการปวดหัวคิ้ว หรือการปวดด้วยแบบอื่นๆ ก็สามารถทำได้ด้วยการบรรเทาอาการเบื้องต้นง่ายๆ และการรักษาทางการแพทย์ ดังนี้
การบรรเทาอาการเบื้องต้น
การบรรเทาอาการเด็กปวดหัวในเบื้องต้นด้วยวิธีง่ายๆ สามารถทำได้ ดังนี้
- ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการกินอาหารหรือพฤติกรรมการนอน โดยเน้นให้กินอาหารที่มีประโยชน์และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย
คุณพ่อหรือคุณแม่ ผู้ปกครองของเด็กๆ ควรหมั่นให้เด็กกินน้ำวันละ 6-8 แก้ว เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยที่ร่างกายชุ่มชื้น ช่วยลำเลียงสารอาหาร ขับถ่ายของเสีย ควบคุมอุณภูมิของร่างกาย ตลอดจนบรรเทาอาการปวดหัวในเด็ก
- การประร้อนหรือประคบเย็น
เพียงน้ำผ้าเย็นหรือผ้าชุบน้ำอุ่นหมาดๆ มาประคบบริเวณที่ปวดไว้ประมาณ 10-15 นาทีก็จะช่วยให้ระบบโลหิตหมุนเวียนได้ดี ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ตลอดจนบรรเทาอาการลูกบ่นปวดหัวบ่อยๆ ได้
- การออกกำลังกาย
ส่วนใหญ่แล้วผู้ใหญ่ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน มักจะออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะแก้ปวดหัว เดินเร็ว หรือวิ่ง แต่หากในเด็กอาจจะใช้การออกำลังกายเบาๆ เพียงแค่ขยับร่างกายเล็กน้อย สุขภาพร่างกายก็จะแข็งแรง การไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดี นับว่าเป็นิธีแก้ปวดหัวตามธรรมชาติที่เห็นผลดี
การรักษาทางการแพทย์
สำหรับการรักษาไมเกรนของผู้ใหญ่มีแนวทางการรักษาที่หลากหลาย เช่น การฝังเข็มไมเกรนตามแพทย์แผนจีน การฉีดโบท็อกไมเกรนที่ปลอดภัยและผลข้างเคียงน้อย แต่การรักษาอาการเด็กปวดหัวไมเกรนด้วยวิธีทางการแพทย์ สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการกินยาไมเกรน
การกินยาไมเกรน เช่น ยากลุ่ม triptan สำหรับรักษา ยากลุ่ม ergotamine ตลอดจนยากลุ่ม ibuprofen ซึ่งจะต้องกินยาติดต่อกันนานถึง 6 เดือน เพื่อช่วยลดอาการปวด แต่หากมีอาการปวดหัวในเด็กไม่มาก หรือยาแก้ปวดสามัญประจำบ้าน เช่น พาราเซตามอล แอสไพริน แทนได้ ทั้งนี้ การกินยาไมเกรนจะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เด็กปวดหัว ดูแลอย่างไร
หากลูกบ่นปวดหัวบ่อยๆ หรือมีอาการ ปวดขมับ การมองเห็นหรือได้กลิ่นผิดปกติเป็นสัญญาของอาการปวดหัวเด็กจากไมเกรน ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองควรดูแลด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
- การนอนพักผ่อนให้เพียงพอในห้องปรับอากาศหรือในอุณหภูมิที่เหมาะสม
- การจดบันทึกลักษณะอาการปวดหัวของลูก
- การสังเกตและจดจำสิ่งที่กระตุ้นอาการไมเกรนในเด็ก
- เมื่อลูกมีอาการที่ผิดปกติมากกว่าอาการปวดหัว ควรพาลูกมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยทันที
- หมั่นพูดคุยเกี่ยวกับปัญหา เพื่อลดความเครียด เช่น การบ้าน การถูกตำหนิที่โรงเรียน การสอบ
- ควรจัดอาหารให้ลูกอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ โดยเฉพาะอาหารเช้า โดยอาจจะมีวิตามินเสริม เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งหรือกิจกรรมที่เร้าต่อการเกิดอาการปวดไมเกรน
ทั้งนี้ หากอาการอยู่ในระดับรุนแรงมากขึ้น ควรกินยาชนิดต่างๆ ที่มีสรรพคุณในการลดอาการปวดหัวในเด็ก เช่น ยาไมเกรน ยาแก้ปวดหัว ยาแก้แพ้ หรือยาแก้เครียด แต่ทั้งจะต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อลดอาการเด็กปวดหัว
แนวทางการป้องกันอาการปวดหัวในเด็ก
แม้ว่าเด็กปวดหัวจะพบได้ทั่วไป แต่อาการส่วนใหญ่ที่พบจะไม่รุนแรงมากนัก ซึ่งหากใครที่กังวลหรือกำลังหาแนวทางการป้องกันอาการปวดหัวในเด็กสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
- ติดตามอาการ
กรณีนี้อาจจะต้องให้ผู้ปกครองคอยดูและและเฝ้าติตดตามอาการในเบื้องต้นอยู่เสมอๆ
- จัดพื้นที่ที่อยู่อาศัย
จัดลูกนอนพักผ่อนให้เต็มที่ในพื้นที่ที่เหมาะสม เช่น ในห้องมืดที่อุณหภูมิเหมาะสม อากาศเย็น เพื่อลดปัญหาการที่มีสิ่งเร้าเข้ามากระตุ้นอาการปวดหัวไมเกรน
- หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้นไมเกรน
ควรเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นไมเกรน เช่น ไวน์แดง ผลิตภัณฑ์จากนม ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงจำพวกส้ม มะนาว ข้าวสาลี หรือช็อกโกแล แต่ในขณะเดียวกันควรเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผัก ผลไม้ อาหารที่มีแร่ธาตุของแมกนีเซียม ไมเกรนหรืออาการปวดหัวในเด็กก็จะลดลงได้ง่ายๆ
- การผ่อนคลายและทำกิจกรรม
หากลูกบ่นปวดหัวบ่อยๆ อาจจะต้องหากิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ช่วยสร้างความผ่อนคลาย ลดความตึงเครียด และเสริมสร้างพฤติกรรมของเด็กได้ไปพร้อมๆ กัน
- ปรับเวลานอนให้เหมาะสม
สำหรับเหล่าผู้ปกครองอาจจะต้องปรับเวลาลูกๆ หรือเด็กในปกครองให้เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ลดอาการอ่อนเพลีย ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ป้องกันอาการโรคปวดหัวในเด็ก
ทั้งนี้ หากอาการปวดหัวในเด็กยังไม่ดีขึ้นควรพิจารณาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง ด้วยการวินิจฉัยผ่านวิธีในข้างต้นอีกครั้ง
ข้อสรุป
หากลูกบ่นปวดหัวบ่อยๆ หรือลูกปวดหัวตรงหน้าผาก คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครองควรดูแลลูกๆ ให้ปลอดภัย โดยอาจจะสังเกตอาการ หมั่นดูแล หรือหาวิธีป้องกันอาการเด็กปวดหัวไมเกรน ซึ่งหากมีอาการปวดหัวรุนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที
ทั้งนี้ สำหรับผู้ใหญ่ที่มีอาการไมเกรนและต้องการตรวจไมเกรนและรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทร 090–970-0447 เพื่อปรึกษา เข้าตรวจ ตลอดจนนัดวันกับ BTX Migraine Center หรือศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทางที่มีมาตรฐานรองรับ ปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีทันสมัย และเห็นผลในระยะเวลาอันสั้น
เอกสารอ้างอิง
Nationwide Children’s Hospital. (n.d.). Headaches in Children. Retrieve from
https://www.nationwidechildrens.org/conditions/headaches-in-children