อาการปวดหัวในช่วงเวลาต่างๆ เชื่อมโยงกับไมเกรน และวิธีจัดการอาการปวดหัวให้ได้ผล

อาการปวดหัวแต่ละเวลา เกี่ยวกับไมเกรน

เคยสังเกตไหมว่าอาการปวดหัวของคุณมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดิม ๆ ของวัน? ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าที่เพิ่งตื่นขึ้นมา ตอนบ่ายที่งานกำลังเร่ง หรือยามค่ำคืนก่อนเข้านอน อาการปวดหัวสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และบางครั้งอาจมีความเชื่อมโยงกับไมเกรนโดยไม่รู้ตัว  

ในบทความนี้ จะไปดูสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดหัวในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวัน ทำความเข้าใจกับความเชื่อมโยงของมันกับอาการปวดหัวไมเกรน พร้อมแนะนำวิธีจัดการกับอาการปวดหัวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้คุณกลับมามีชีวิตประจำวันที่ราบรื่นและสบายใจได้อีกครั้ง

สารบัญบทความ

สาเหตุของอาการปวดหัวในช่วงเวลาต่างๆ ของวัน

รู้หรือไม่ว่าอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของวันนั้นมีสาเหตุและลักษณะอาการที่ไม่เหมือนกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ตอนเช้า ตอนบ่าย และช่วงเย็นและหัวค่ำ

อาการปวดหัวตอนเช้า

อาการปวดหัวตอนเช้า มีผลพวงจากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือการมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ซึ่งทำให้สมองขาดออกซิเจนในระหว่างการนอนหลับ นอกจากนี้ ความเครียดหรือความวิตกกังวลสะสมจากวันก่อนยังสามารถทำให้อาการปวดหัวตอนเช้าเกิดขึ้นได้ และอีกสาเหตุหนึ่งที่พบได้คือการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วงเย็นหรือหัวค่ำ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ ทำให้ตื่นมาแล้วรู้สึกปวดหัวได้

อาการปวดหัวในช่วงบ่าย

ในช่วงบ่าย หลายคนอาจเผชิญกับอาการปวดหัวจากความเครียดหรือการใช้งานกล้ามเนื้อตาเป็นเวลานาน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ อาการเหล่านี้อาจเกิดจากความเหนื่อยล้าทางสมอง หรือระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดลงหลังมื้อเที่ยง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายขาดพลังงานและรู้สึกปวดหัวช่วงบ่ายได้

อาการปวดหัวในช่วงเย็นและค่ำ

สำหรับอาการปวดหัวในช่วงเย็นถึงหัวค่ำ มักมีความเกี่ยวข้องกับความเครียดสะสมจากการทำงานตลอดทั้งวัน หรืออาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายที่ทำให้ร่างกายอ่อนล้า บางคนอาจรู้สึกปวดหัวไมเกรนในช่วงนี้ ซึ่งถูกกระตุ้นโดยแสงสีฟ้าจากหน้าจอ หรือการรับประทานอาหารกระตุ้นไมเกรน เช่น อาหารแปรรูปหรือช็อกโกแลต เป็นต้น

อาการปวดหัวหลังตื่นนอน

อาการปวดหัวแต่ละช่วงเกี่ยวข้องกับไมเกรนไหม

หลายคนที่มีอาการปวดหัวในแต่ละช่วงของวัน มักจะรู้สึกปวดหัวตุบๆ หรือปวดหัวข้างเดียว ทำให้สงสัยว่านี่เป็นสัญญาณเตือนของไมเกรนใช่หรือไม่? และมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร? มาดูความเชื่อมโยงของอาการปวดหัวและโรคไมเกรนกัน

ไมเกรนและอาการปวดหัวตอนเช้า

อาการปวดหัวไมเกรนสามารถเริ่มต้นในช่วงเช้าได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น การนอนหลับที่ไม่เพียงพอ หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ซึ่งเพิ่มโอกาสที่อาการปวดหัวไมเกรนจะเกิดขึ้น หลายคนอาจตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวที่รุนแรงและอาการคลื่นไส้ หรืออาจมีอาการไวต่อแสงและเสียงร่วมด้วย ซึ่งนี่เป็นลักษณะเฉพาะของไมเกรน

ไมเกรนและอาการปวดหัวช่วงบ่ายและเย็น

ในช่วงบ่ายและเย็น ไมเกรนอาจถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเครียดจากการทำงาน หรือการจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน นอกจากนี้ การขาดน้ำหรือการรับประทานอาหารที่ไม่เพียงพอระหว่างวันก็สามารถทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้เช่นกัน ในบางคน อาจรู้สึกปวดหัวไมเกรนในช่วงเย็นและค่อย ๆ รุนแรงขึ้นจนถึงช่วงหัวค่ำ โดยเฉพาะถ้ามีการรับประทานอาหารกระตุ้นไมเกรน เช่น แอลกอฮอล์ เนื้อแปรรูป ผลิตภัณฑ์นม ช็อกโกแลต หรืออาหารแปรรูปที่ปรุงรสจัด

วิธีจัดการอาการปวดหัวในช่วงเวลาต่างๆ ของวัน

จะเห็นได้เลยว่าอาการปวดหัวตอนเช้า ปวดหัวช่วงบ่าย และช่วงเย็น ล้วนมีสาเหตุและแนวทางการบรรเทาอาการปวดที่แตกต่างกันออกไป การรู้วิธีจัดการอาการปวดหัวตามช่วงเวลาดังกล่าว จะช่วยให้คุณสามารถรับมือและป้องกันไม่ให้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้

การจัดการอาการปวดหัวตอนเช้า

  • นอนให้พอและปรับท่านอน : ควรพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7-9 ชั่วโมง รวมไปถึงจัดหมอนและท่านอนให้รู้สึกสบายมากที่สุด เพื่อช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทบริเวณคอและไหล่
  • จิบน้ำทันทีที่ตื่น : การดื่มน้ำในตอนเช้าช่วยให้ร่างกายสดชื่นและป้องกันอาการขาดน้ำซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการปวดหัว
  • หลีกเลี่ยงคาเฟอีนก่อนนอน : หากดื่มกาแฟหรือชาในช่วงเย็นจนถึงก่อนนอน คาเฟอีนอาจจะไปทำให้ร่างกายหลับไม่สนิทและส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวตอนเช้าได้

การจัดการอาการปวดหัวในช่วงบ่าย

  • พักสายตา : ลองพักสายตาและมองออกไปไกล ๆ เป็นเวลา 5-10 นาทีทุกชั่วโมง เพื่อลดอาการตึงเครียดของดวงตาและป้องกันอาการปวดหัว
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ : ร่างกายต้องการน้ำในปริมาณที่เพียงพอเพื่อทำให้สมองและร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการดื่มน้ำระหว่างวันจะช่วยลดอาการปวดหัวได้
  • รับประทานของว่างที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต : ของว่างที่มีส่วนประกอบของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต เช่น ถั่วหรือโยเกิร์ต จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ลดความเสี่ยงของการปวดหัวที่เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

การจัดการอาการปวดหัวในช่วงเย็น

  • ออกกำลังกายเบาๆ หรือยืดกล้ามเนื้อ : การทำโยคะหรือยืดกล้ามเนื้อในช่วงเย็นช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยลดอาการปวดหัวได้
  • อาบน้ำอุ่นหรือประคบร้อนเบาๆ : การอาบน้ำอุ่นหรือประคบร้อนที่ต้นคอและไหล่ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและลดความเครียด และช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้
  • หลีกเลี่ยงการจ้องหน้าจอก่อนนอน : หากสามารถเลี่ยงการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือก่อนนอนได้ จะช่วยให้สมองและดวงตาได้พักผ่อน และป้องกันอาการปวดหัวในระยะยาว

การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวตามช่วงเวลา

นอกจากการดูแลสุขภาพและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้ว บางครั้งการใช้ยาบรรเทาปวดก็เป็นสิ่งจำเป็นในการบรรเทาอาการปวดหัวได้อย่างรวดเร็ว โดยในปัจจุบันได้มียาแก้ปวดหลากหลายประเภทที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ

ยาแก้ปวดทั่วไป

ยาแก้ปวดทั่วไป เหมาะสำหรับอาการปวดหัวที่ไม่รุนแรงมาก เช่น อาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียดหรืออาการปวดเมื่อยร่างกาย ซึ่งยากลุ่มนี้จะมีขายตามร้านขายยาทั่วไป และสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยเมื่อใช้ในขนาดที่เหมาะสม

ตัวอย่างยาแก้ปวดทั่วไป

  • พาราเซตามอล : เป็นยาบรรเทาปวดและลดไข้ที่ปลอดภัย มักใช้ในการบรรเทาอาการปวดหัวเล็กน้อยถึงปานกลาง เหมาะสำหรับอาการปวดหัวที่เกิดจากความเมื่อยล้าหรือมีอาการปวดหัวในช่วงเช้า แต่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำบนฉลากยา
  • ไอบูโพรเฟน : Ibuprofen เป็นยาแก้ปวดและต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวจากการอักเสบของกล้ามเนื้อหรือการตึงเครียด โดยเฉพาะอาการปวดหัวที่เกิดจากการทำงานหนักช่วงบ่ายหรือช่วงเย็น แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาชนิดนี้หากมีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร
  • แอสไพริน : สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหัวและลดการอักเสบได้ดี อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในเด็กหรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร และควรระมัดระวังในผู้ที่มีโรคหัวใจหรือภาวะเลือดออกง่าย

ยาต้านไมเกรน 

ยาต้านไมเกรนเป็นยาที่ถูกออกแบบมาเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนโดยเฉพาะ โดยมีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือดและบรรเทาความเจ็บปวด รวมถึงลดอาการคลื่นไส้ที่มักเกิดร่วมกับอาการไมเกรน

ตัวอย่างยาต้านไมเกรน

  • ยาในกลุ่มทริปแทน (Triptans) : เช่น ซูมาทริปแทน (Sumatriptan) เป็นยาไมเกรนที่ช่วยขยายหลอดเลือดในสมองและบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรใช้ทันทีที่เริ่มมีอาการไมเกรน แต่ยานี้ไม่ควรใช้บ่อยเกินไปและต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น
  • ยาในกลุ่มเออร์กอต (Ergotamine) : ยาในกลุ่มนี้ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนเฉียบพลัน มีประสิทธิภาพสูงในการลดการบวมของหลอดเลือด แต่ก็มีข้อควรระวังหลายประการ ดังนั้น ควรได้รับการสั่งจ่ายจากแพทย์เท่านั้น
  • ยาป้องกันไมเกรน : เช่น โพรพราโนลอล (Propranolol) หรือโทพิราเมท (Topiramate) ใช้สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรนบ่อยครั้ง เป็นการรักษาในระยะยาวเพื่อป้องกันอาการไมเกรนและควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์

ทั้งนี้ การเลือกใช้ยาเพื่อลดอาการปวดหัวควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เพื่อให้สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล และป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาผิดประเภทหรือใช้ยาเกินขนาด

ยาป้องกันไมเกรน

ข้อสรุป

อาการปวดหัวสามารถเกิดขึ้นได้ทุกช่วงเวลาและมักมีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป และ “ไมเกรน” ก็เป็นภาวะที่มีการเชื่อมโยงกับอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาด้วย ไม่ว่าจะเป็นปวดหัวตอนเช้า ตอนบ่าย หรือตอนเย็น โดยอาการมักจะรุนแรงขึ้นเมื่อมีการกระตุ้นจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือการรับประทานอาหารกระตุ้นไมเกรน โดยเฉพาะในช่วงเย็นและค่ำ

เพื่อจัดการกับอาการปวดหัวในแต่ละช่วงเวลา การปรับพฤติกรรมการนอน การทานอาหารที่มีประโยชน์ และการผ่อนคลายความเครียด ถือเป็นวิธีที่ช่วยลดความรุนแรงของอาการปวดได้ แต่หากอาการปวดหัวหรือไมเกรนยังคงมีความถี่หรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาไมเกรนโดยเร็วที่สุด

BTX Migraine Center เป็นศูนย์รักษาไมเกรนและอาการปวดหัวเรื้อรังที่มีเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์เฉพาะทางในการตรวจและรักษาไมเกรนโดยเฉพาะ ผู้ที่มีปัญหาไมเกรนหรืออาการปวดหัวเรื้อรังสามารถติดต่อเพื่อปรึกษาหรือจองคิวการรักษาได้ที่ Line: @ayaclinic หรือโทร 090–970-0447 เพื่อรับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการในรูปแบบที่ปลอดภัยและทันสมัย

แอดไลน์