ความแตกต่างของการทานยาแก้ปวด และการใช้ยาป้องในการรักษาไมเกรน
Migraines เป็นอาการปวดศีรษะชนิดหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก โดยมักจะมีอาการปวดหัวรุนแรงบริเวณใดบริเวณหนึ่งของศีรษะ ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน และไวต่อแสง และเสียง
ซึ่งวิธีการรักษาไมเกรนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือการใช้ยาไมเกรน แต่ก็จะมีการทานทั้งยาแก้ปวดและการใช้ยาป้องกันไมเกรน แต่ยาทั้ง 2 ประเภทนี้แตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกรักษาแบบไหนดี มาดูคำตอบได้ในบทความนี้กันเลยค่ะ
Article table of contents
- ทำความเข้าใจเกี่ยวกับไมเกรน
- ความแตกต่างระหว่างยาแก้ปวดไมเกรนและยาป้องกันไมเกรน
- ทำไมถึงไม่ควรกินยาแก้ปวดระยะเวลานาน
- ข้อดีและข้อเสียของการใช้ยาป้องกันไมเกรน
- วิธีการรักษาไมเกรนในรูปแบบอื่นๆ
- วิธีป้องกันไมเกรน
- SUMMARY
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับไมเกรน
โรคMigraines มักเกิดเป็นอาการปวดศีรษะที่มีลักษณะปวดแบบตุ๊บ ๆ และอาจมีระยะเวลาปวดเป็นจังหวะ อาการปวดศีรษะมักเป็นความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก และอาจมีอาการอื่นเกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้และอาเจียน อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีอาการเบื้องต้นที่แสดงอาการเตือนล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดอาการไมเกรนประมาณ 10-30 นาที อาการเบื้องต้นเหล่านี้อาจเป็นการมองเห็นแสงวูบวาบ ไฟระยิบระยับ เห็นภาพเบลอ และอาจมีระยะเวลาที่ร่างกายต้องการพักผ่อนหลังจากอาการเบื้องต้นก่อนปวดศีรษะด้วย
ความแตกต่างระหว่างยาแก้ปวดไมเกรนและยาป้องกันไมเกรน
ยาแก้ปวดไมเกรน
ยาแก้ปวดสำหรับMigrainesมีหลายชนิด ทั้งชนิดรับประทานและแบบฉีด โดยมักจะใช้ในกรณีที่อาการปวดเริ่มต้นขึ้นแล้ว ยากลุ่มนี้จะช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของอาการปวด โดยยาแก้ปวดที่นิยมใช้ได้แก่
- ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) นาพรอกเซน (naproxen)
- ยาทริปแทน (Triptans) เช่น ซูมาทริปแทน (sumatriptan)
- ยาต้านอาเจียน เช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclopramide)
ข้อดีของการใช้ยาแก้ปวดคือ ออกฤทธิ์เร็ว ช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของอาการปวด และหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป แต่ยาแก้ปวดอาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และการใช้ยาบางชนิดบ่อย ๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะแบบ rebound headache ได้
ยาป้องกันไมเกรน
ยาป้องกันไมเกรนมีไว้เพื่อลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวด โดยมักจะใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการMigrainesมากกว่า 4 ครั้งต่อเดือน ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการปรับสภาพสมดุลทางเคมีในสมอง ยาป้องกันไมเกรนที่นิยมใช้ได้แก่
- ยาต้านอาการซึมเศร้า (Antidepressants) เช่น อะมิทริปไทลีน (amitriptyline)
- ยาป้องกันอาการชัก (Anticonvulsants) เช่น โทพิราเมต (topiramate)
- ยาป้องกันความดันโลหิตสูง (Beta-blockers) เช่น โพรพราโนลอล (propranolol)
ทำไมถึงไม่ควรกินยาแก้ปวดระยะเวลานาน
ยาแก้ปวดกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้สึกปวดหัว ปวดหลัง หรือมีอาการไม่สบายตัว แต่รู้หรือไม่ว่าการกินยาแก้ปวดระยะเวลานานอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด
การเสพติดยา
ยาแก้ปวดบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดประเภทโอปิออยด์ (opioid) มีฤทธิ์เสพติดสูง การใช้ยาเหล่านี้อย่างต่อเนื่องและไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่การเสพติดยาได้ โดยผู้ใช้ยาจะมีอาการอยากยา และต้องเพิ่มขนาดยาเพื่อให้ได้ผลในการแก้ปวด ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตในระยะยาวได้
ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น
ยาแก้ปวดทุกชนิดล้วนมีผลข้างเคียง ซึ่งผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย ได้แก่ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ง่วงซึม เวียนศีรษะ และความดันโลหิตต่ำ โดยผลข้างเคียงเหล่านี้อาจรุนแรงมากขึ้นเมื่อใช้ยาเป็นเวลานาน
การเกิดอาการปวดหัวจากการใช้ยาเกินขนาด
การกินยาแก้ปวดมากเกินไปหรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวเรื้อรังจากการใช้ยาเกินขนาด (medication overuse headache) อาการปวดหัวชนิดนี้มักจะเป็นแบบปวดตุบ ๆ ปวดทั้งวัน และไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวด ในบางรายจำเป็นต้อมีการเพิ่มขนาดการทานยามากขึ้น
ข้อดีและข้อเสียของการใช้ยาป้องกันไมเกรน
ข้อดีของการใช้ยาป้องกันไมเกรน
- ลดความถี่ของการเกิดไมเกรน ยาป้องกันไมเกรนสามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดได้อย่างชัดเจน จากงานวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานยาป้องกันไมเกรน สามารถลดจำนวนครั้งที่เกิดอาการปวดลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง
- ลดความรุนแรงของอาการปวด นอกจากจะลดความถี่แล้ว ยาป้องกันไมเกรนยังช่วยลดความรุนแรงของอาการปวดได้เป็นอย่างดี งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าผู้ป่วยที่รับประทานยาป้องกันไมเกรนมีอาการปวดที่ทุเลาลง ระยะเวลาในการปวดลดลง พร้อมทั้งยังช่วยให้ยาแก้ปวดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ลดการใช้ยาแก้ปวด eatingยาแก้ปวดบ่อย ๆ อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย ยาป้องกันไมเกรนช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาแก้ปวด และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ข้อเสียของการใช้ยาป้องกันไมเกรน
- ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ยาป้องกันไมเกรนส่วนใหญ่จะไม่เห็นผลทันทีหลังจากเริ่มใช้ยา ซึ่งอาจจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงจนกว่าจะออกฤทธิ์
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ยาป้องกันไมเกรนแต่ละชนิดจะมีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไป บ้างก็ไม่รุนแรง บ้างก็รุนแรงถึงขั้นต้องหยุดยา ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ น้ำหนักเพิ่มขึ้น อ่อนเพลีย เป็นต้น ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาแต่ละชนิด
- ต้องมีการทานยาเป็นประจำ การใช้ยาไมเกรนส่วนใหญ่ต้องทานเป็นประจำเมื่อมีอาการเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ หากหยุดยา อาการMigrainesอาจกลับมาอีกได้
วิธีการรักษาไมเกรนในรูปแบบอื่นๆ
โชคดีที่Migrainesสามารถรักษาและควบคุมอาการได้ด้วยวิธีธรรมชาติ นอกเหนือจากการใช้ยา นั่นคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต นำเทคนิคการผ่อนคลายมาปรับใช้ และเสริมด้วยการทำกายภาพบำบัด ฝังเข็ม นวดกดจุด อีกทั้งยังมีการรักษาไมเกรนแบบแพทย์ทางเลือก ซึ่งมีอยู่ด้วยกันดังนี้
การใช้วิธีการไม่ใช้ยา
การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มกระตุ้นอาการไมเกรน เช่น ช็อคโกแลต ชีส ไวน์แดง และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- นอนหลับอย่างเพียงพอ นอนและตื่นเป็นเวลา พยายามนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
- ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน
- ออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยลดความเครียดและปรับสมดุลของฮอร์โมน
- จัดการความเครียดโดยการฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น โยคะ นั่งสมาธิ หรือหายใจเข้าลึกๆ
การผ่อนคลายและการลดความเครียด
- ฝึกการนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ ช่วยลดความเครียด ปรับสมดุลทางอารมณ์ และเพิ่มความตระหนักรู้
- การหายใจเข้าลึกๆ ช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น ลดอาการตึงเครียด
- การฟังดนตรี ช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย
- การใช้กลิ่นบำบัด กลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยบางชนิด เช่น ลาเวนเดอร์ ช่วยให้ผ่อนคลาย
- การนวด ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการตึงเครียด
การทำกายภาพบำบัด ออกกำลังกาย
- นักกายภาพบำบัดจะประเมินและออกแบบท่าบริหารเพื่อลดอาการปวด ตึง และปรับสมดุลของกล้ามเนื้อ
- การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดิน ว่ายน้ำ วิ่ง อาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที
- การฝึกโยคะ ช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพิ่มความยืดหยุ่น และฝึกการหายใจ
การฝังเข็ม นวดกดจุด
- การฝังเข็มที่จุดเฉพาะบนร่างกาย ช่วยปรับสมดุลพลังงานในร่างกาย ลดอาการปวด และลดความถี่ของการเกิดMigraines
- การนวดกดจุดช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวด และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
การรักษาทางการแพทย์
การใช้โบท็อกซ์รักษาไมเกรน โบท็อกซ์ (Botulinum Toxin) เป็นสารที่ผลิตจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum ซึ่งเดิมทีมีชื่อเสียงในด้านความงาม แต่ปัจจุบันมีการนำโบท็อกซ์มาใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงMigraines โดยโบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ยับยั้งการส่งสัญญาณประสาท ซึ่งช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดMigraines
Theรักษาด้วยโบท็อกซ์สำหรับMigrainesนั้น แพทย์จะทำการฉีดโบท็อกซ์เข้าบริเวณรอบ ๆ ศีรษะ คอ และไหล่ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทและกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดMigraines การรักษาไมเกรนด้วยโบท็อกซ์โดยทั่วไปจะต้องทำซ้ำทุก 3-4 เดือน จึงจะเห็นผลอย่างชัดเจน
การใช้ปากกาฉีดพุงรักษาไมเกรน อีกหนึ่งวิธีการรักษาไมเกรนที่น่าสนใจคือ การใช้ปากกาฉีดพุง Pontevia ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งสาร CGRP (Calcitonin Gene-Related Peptide) ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดMigraines การใช้ปากกาฉีดพุงนั้นสะดวกและรวดเร็วเพียงแค่ฉีดยาเข้าบริเวณต้นขาหรือพุง โดยยาจะออกฤทธิ์ภายใน 1-2 ชั่วโมง ช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างรวดเร็ว
การใช้ TMS รักษาไมเกรน TMS (Transcranial Magnetic Stimulation) คือการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นวิธีการรักษาไมเกรนที่ปลอดภัยและไม่ใช้ยา โดยใช้คลื่นแม่เหล็กกระตุ้นบริเวณสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดMigraines ช่วยลดความไวของระบบประสาท และลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดMigraines ผลการศึกษาพบว่า TMS สามารถลดความถี่ของอาการปวดMigrainesได้มากถึง 50% และยังช่วยลดความรุนแรงของอาการปวดอีกด้วย
วิธีป้องกันไมเกรน
วิธีป้องกันMigrainesที่สามารถเริ่มต้นทำได้ง่าย ๆ ได้แก่
- หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น อาหารที่กระตุ้นMigraines ความเครียด วิตกกังวล นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ และสภาพแวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์
- การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เหมาะสม ช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดMigrainesได้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
- รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีน
- ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์
- ควบคุมความเครียด ฝึกสมาธิ ฝึกโยคะ การหายใจ
SUMMARY
Migraines เป็นอาการปวดหัวเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก การป้องกันและดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีโดยหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และรับประทานยาตามแพทย์สั่ง จะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดMigrainesได้
ซึ่งการเลือกใช้ยาสำหรับการรักษาไมเกรนนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของอาการ ความถี่ของการเกิดอาการ และโรคประจำตัวของผู้ป่วย โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินอาการและแนะนำยาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล หากต้องการปรึกษาแพทย์ สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนและอาการปวดหัวเรื้อรังที่มีเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์สำหรับการตรวจไมเกรนโดยเฉพาะ
สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทรเบอร์ 090–970-0447 เพื่อปรึกษา ขอคำแนะนำ หรือจองคิวการรักษาในรูปแบบต่าง ๆ กับทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทางที่ปลอดภัยและทันสมัยได้ทันที