ปวดหลัง ปวดคอ ร้าวขึ้นหัว เกิดจากอะไร? วิธีแก้ไขและป้องกัน

รักษาออฟฟิศซินโดรมอาการปวดหลัง ปวดคอร้าวขึ้นหัว เป็นอาการทางสุขภาพที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย แต่มักจะพบได้บ่อยในผู้ที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่ได้ขยับร่างกาย ซึ่งนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “ออฟฟิศซินโดรม” อาการยอดฮิตของชาวออฟฟิศที่ต้องทำงานนาน ๆ ที่นอกจากจะแค่อาการปวดหลังแล้ว ยังอาจส่งผลร้ายแรงในด้านอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น ในบทความนี้เราจะพาไปดูสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดหลัง ปวดคอร้าวขึ้นหัว คืออะไร ใช่ ออฟฟิศซินโดรม หรือไม่ และมีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ถึงสาเหตุและพร้อมรับมือได้อย่างเหมาะสม

สารบัญบทความ

ปวดหลัง ปวดคอ ร้าวขึ้นหัว คืออะไร?

อาการปวดหลัง ปวดคอร้าวขึ้นหัว เป็นอาการที่สามารถพบได้กับผู้ที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน โดยลักษณะอาการคือจะปวดคอ ปวดหลัง และมีความรู้สึกร้าวหรือปวดที่ลามไปยังส่วนอื่น ๆ เช่น บ่า ไหล่ หรือศีรษะ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็น การนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้องนานเกินไป การใช้งานกล้ามเนื้อคอและหลังหนักเกินไป เกิดจากความเครียดและความวิตกกังวล ปวดหัวจากความเครียดสะสม รวมไปถึงโรคที่เกี่ยวกับกระดูกหรือหมอนรองกระดูก อาการเหล่านี้อาจส่งผลให้รู้สึกปวดบริเวณศีรษะในลักษณะที่ไม่เหมือนกับการปวดหัวทั่วไป แต่จะเป็นความรู้สึกตึงและปวดที่ลามมาจากกล้ามเนื้อคอและบ่าที่ตึงเครียด ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกปวดศีรษะร่วมด้วย

ในบางกรณี อาการนี้สามารถรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของบางคนได้เป็นอย่างมาก ทำให้เกิดความไม่สบายตัว ไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ และถ้าปล่อยไว้โดยไม่รักษาก็อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงมากขึ้นได้

ออฟฟิศซินโดรม คืออะไร

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ กลุ่มอาการที่เกิดจากการทำงานในท่านั่งท่าเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น นั่งหลังค่อม ก้มหน้ามองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน พักผ่อนไม่เพียงพอ ซ้ำๆ เป็นเวลานาน รวมถึงสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น เก้าอี้ไม่รองรับสรีระ แสงสว่างไม่เพียงพอ อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เป็นต้น 

อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่ค่อย ๆ สะสมไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นอาการเรื้อรัง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ประสิทธิภาพในการทำงาน และอาจลุกลามกลายเป็นโรคที่ร้ายแรงได้

อาการของออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม มีอาการอย่างไร อาการของออฟฟิศซินโดรม ที่พบได้บ่อย มีอยู่ด้วยกันดังนี้

  • ปวดคอ บ่า และไหล่ อาการตึงและปวดบริเวณกล้ามเนื้อคอ บ่า และปวดไหล่เรื้อรัง เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด มักเกิดจากการนั่งทำงานในท่าที่ไม่ถูกต้องนานเกินไป ในบางรายอาจปวดรุนแรงแบบปวดคอร้าวขึ้นหัวได้
  • ปวดหลัง การนั่งนานเกินไปหรือนั่งในท่าทางที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้กล้ามเนื้อหลังเกิดความตึงเครียดและปวดได้ บางครั้งอาจร้าวลงไปถึงสะโพกหรือขา
  • ปวดศีรษะ ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อคอและบ่ามักทำให้รู้สึกปวดศีรษะ หรือปวดร้าวจากคอขึ้นไปยังศีรษะ หรือในบางคนอาจมีอาการปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย
  • อาการชา มือสั่น หรือปวดข้อมือ การใช้งานเมาส์และแป้นพิมพ์เป็นเวลานานอาจทำให้เส้นประสาทบริเวณข้อมือและมือเกิดการกดทับ ทำให้เกิดอาการมือชา นิ้วล็อก หรือปวดข้อมือได้
  • ตาแห้งและปวดตา การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไปโดยไม่ได้พักสายตาอาจทำให้เกิดอาการตาแห้ง ปวดตา หรือมองไม่ชัด
  • ความเมื่อยล้าและอ่อนเพลีย อาการปวดเรื้อรังทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น และอาจส่งผลต่อการนอนหลับ
  • เวียนศีรษะและบ้านหมุน เกิดจากความตึงเครียดของกล้ามเนื้อคอและระบบประสาทที่ถูกกดทับ ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะได้

ออฟฟิศซินโดรมคืออะไร

สาเหตุของอาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดหัว

อาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดหัว อาการเหล่านี้หากเกิดขึ้นมาพร้อมกัน อาจทำให้หลายคนไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร แต่สำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานนาน ๆ ก็มีสาเหตุเพียงไม่กี่อย่าง โดยทั่วไปแล้วอาการปวดหลัง ปวดคอร้าวขึ้นหัว มักเกิดมาจาก 3 สาเหตุ ดังนี้

ท่าทางการทำงานที่ไม่ถูกต้อง

หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังและปวดคอร้าวขึ้นหัว คือ การทำงานในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น นั่งหลังงอ คอห่อไหล่ ยกไหล่สูง หรือแอ่นหลัง ส่งผลให้กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังต้องรับแรงกดดันมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่าทำงานหนัก เกิดอาการปวดตึง บ่อยครั้งจะลามไปถึงศีรษะ 

นอกจากนี้ หากนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่ถูกต้องเป็นระยะเวลานาน ยังทำให้กล้ามเนื้อตึงและเกิดอาการอักเสบในระยะยาว ซึ่งเป็นที่มาของอาการปวดเรื้อรังและรักษาให้หายขาดได้ยาก

การใช้คอมพิวเตอร์นานเกินไป

การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยไม่มีการพักหรือเปลี่ยนอิริยาบถ อาจทำให้เกิดอาการปวดคอและปวดหลังได้ โดยเฉพาะการนั่งจ้องจอในระดับที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ ไหล่ และหลังตึงเครียด การใช้เวลานาน ๆ โดยไม่ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายจะทำให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักมากเกินไป จนเกิดอาการร้าวขึ้นศีรษะตามมา

ความเครียดและความวิตกกังวล

ความเครียดและความวิตกกังวลมีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดอาการปวดหลังและคอ เมื่อร่างกายเกิดความเครียด กล้ามเนื้อในร่างกายจะตึงเครียดโดยเฉพาะบริเวณคอ ไหล่ และหลัง นอกจากนี้ ความเครียดยังสามารถกระตุ้นให้อาการปวดร้าวขึ้นไปยังศีรษะ ปวดหัวจากความเครียด หรือเรียกว่าอาการปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงเครียด (Tension Headache) ซึ่งมักจะรู้สึกตึงบริเวณขมับและต้นคอ

เสี่ยงออฟฟิศซินโดรม

การรักษาอาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดหัว

สำหรับวิธีแก้อาการปวดหลัง ปวดคอร้าวขึ้นหัว สามารถเริ่มต้นรักษาได้ด้วยตนเองไปจนถึงการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งการปรับพฤติกรรมของตนเองนั้นถือเป็นบันไดขั้นแรกของการรักษา หากยังมีพฤติกรรมการทำงานแบบเดิม ๆ ก็อาจทำให้อาการเหล่านี้หายได้ช้าลงและอาจรุนแรงเพิ่มมากยิ่งขึ้น มาดูกันว่าเราจะสามารถแก้ปวดหลัง ปวดคอ อย่างไร

ปรับท่าทางการทำงาน

การปรับท่าทางการนั่งทำงานให้ถูกต้อง ถือเป็นขั้นแรกของการรักษาและป้องกันอาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดหัว โดยการนั่งให้กระดูกสันหลังตรง ไม่งอคอเวลามองหน้าจอคอมพิวเตอร์ รวมถึงการปรับระดับจอคอมพิวเตอร์ให้พอดีกับสายตา และวางขาให้เป็นแนวตรง 90 องศากับพื้น จะช่วยลดแรงกดทับบนกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การลุกขึ้นเดินหรือยืดเส้นยืดสายทุก ๆ 30 นาที ก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อไม่ตึงเครียดเกินไป

การออกกำลังกายและการยืดเหยียด

การออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยบรรเทาและป้องกันอาการปวดหลัง ปวดคอร้าวขึ้นหัวได้ โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่เน้นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เช่น โยคะ การเดิน และการว่ายน้ำ การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้กล้ามเนื้อไม่เกิดการตึงเครียดและฟื้นฟูได้เร็วขึ้น และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและลดการเกิดอาการปวดเรื้อรังได้ในระยะยาว

การกายภาพบำบัด

การกายภาพบำบัด เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดหัวเรื้อรัง โดยนักกายภาพบำบัดจะช่วยประเมินสาเหตุของอาการและออกแบบโปรแกรมการรักษาที่เหมาะสม เช่น การยืดกล้ามเนื้อ การนวดบำบัด หรือการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น อัลตราซาวด์และการกระตุ้นไฟฟ้าเพื่อบรรเทาอาการปวดหัว หากทำอย่างต่อเนื่องก็จะช่วยให้อาการต่าง ๆ ทุเลาลง

การรักษาในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน

  • การใช้ยาแก้ปวด

การใช้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือยากลุ่ม NSAIDs (ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์) เป็นวิธีการรักษาเบื้องต้นที่ช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อ ยาเหล่านี้ช่วยลดความเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็ว แต่ควรใช้อย่างระมัดระวังและไม่ใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงได้

  • การทำกายภาพบำบัด

การทำกายภาพบำบัดในผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรังเป็นการฟื้นฟูร่างกายและป้องกันไม่ให้อาการกลับมาอีก โดยอาจใช้เครื่องมือ เช่น อัลตราซาวด์ เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า หรือการนวดเฉพาะจุด เพื่อคลายกล้ามเนื้อและเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อต่อ

  • การฉีดยาในที่ปวด หรือการฉีดยาสเตียรอยด์

ในกรณีที่อาการปวดคอร้าวขึ้นหัวรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป แพทย์อาจพิจารณาการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าบริเวณที่ปวดเพื่อลดการอักเสบในทันที ซึ่งในยาสเตียรอยด์นั้นมีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้ การฉีดยาสเตียรอยด์ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงในการเกิดผลข้างเคียงจากยาสเตียรอยด์

การฉีดโบไมเกรน

การรักษาด้วยการฉีดโบท็อกซ์

การฉีดโบท็อกซ์เพื่อรักษาอาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดหลัง ปวดคอร้าวขึ้นหัว เป็นทางเลือกการรักษาที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการไมเกรนหรือออฟฟิศซินโดรมที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบทั่วไป ซึ่งปัจจุบันถือเป็นวิธีการรักษาที่เห็นผลชัดเจนและปลอดภัยมากที่สุด

โบท็อกซ์ คืออะไร

โบท็อกซ์ (Botox) หรือมีอีกชื่อเรียกคือ โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A) เป็นโปรตีนที่ผลิตจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum โดยสารชนิดนี้ทำงานโดยการยับยั้งการส่งสัญญาณของเซลล์ประสาทไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อหยุดการหดเกร็งชั่วคราว ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดจากการตึงเครียดของกล้ามเนื้อได้

การฉีดโบท็อกซ์สำหรับอาการปวดหัว

  • การฉีดโบท็อกซ์สำหรับไมเกรน

โบท็อกซ์ได้รับการอนุมัติจาก FDA ให้ใช้ในการรักษาอาการไมเกรนเรื้อรัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการปวดหัวอย่างน้อย 15 วันต่อเดือน เป็นการฉีดเพื่อเข้ายับยั้งปลายประสาท Acetyl Choline ซึ่งเป็นตัวกลางในการส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมองที่ต่อกับกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวลง โดยจะฉีดเข้าไปที่บริเวณใบหน้าระหว่างคิ้ว หน้าผาก ท้ายทอย ต้นคอ และบ่า ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้ประมาณ 60-70% และช่วยลดความถี่ของอาการปวดศีรษะได้อีกด้วย

  • การฉีดโบท็อกซ์สำหรับออฟฟิศซินโดรม

ผู้ที่นั่งทำงานเป็นเวลานานมักมีปัญหากับอาการ ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) ซึ่งเป็นอาการปวดคอ ไหล่ และหลังที่เกิดจากการนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน การฉีดโบท็อกซ์ในจุดที่มีกล้ามเนื้อหดเกร็ง เช่น บริเวณคอหรือบ่า สามารถช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงและลดอาการปวดเรื้อรังได้ การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายเป็นเวลาหลายเดือนและลดอาการปวดที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อได้

การรักษาและผลข้างเคียง

การรักษาด้วยการฉีดโบท็อกซ์จะใช้เวลาไม่นาน โดยจะใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที และผลของการฉีดจะคงอยู่ประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ข้อดีของการรักษาด้วยโบท็อกซ์คือช่วยบรรเทาอาการปวดเรื้อรังโดยไม่ต้องใช้ยาแก้ปวดเป็นระยะเวลานาน อย่างไรก็ตาม อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น รอยช้ำ ปวดบริเวณที่ฉีด หรืออาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่ก็สามารถหายไปได้เองภายในเวลาไม่กี่วัน

ข้อควรระวังและข้อบ่งชี้

  • ผู้ที่ไม่ควรใช้โบท็อกซ์ถึงแม้ว่าโบท็อกซ์จะปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ แต่ยังมีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่ไม่ควรใช้โบท็อกซ์ ได้แก่
  • ผู้ที่แพ้โบทูลินัม ท็อกซิน หรือส่วนผสมในยา
  • ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis)
  • ผู้ที่มีปัญหาภาวะการแข็งตัวของเลือด หรือผู้ที่ทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • การเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การฉีดโบท็อกซ์ควรทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาด้วยโบทูลินัม ท็อกซิน เพราะการฉีดในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดอาการอักเสบหรือผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้ ดังนั้น ควรเลือกแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์และผ่านการรับรองในการรักษาด้วยโบท็อกซ์อย่างถูกต้อง

ข้อสรุป

อาการปวดหลัง ปวดคอร้าวขึ้นหัว เป็นอีกหนึ่งอาการที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานนาน ๆ เพราะถือเป็นสัญญาณเตือนของ “ออฟฟิศซินโดรม” อันตรายใกล้ตัวของชาวออฟฟิศ ที่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้

หากใครที่มีปัญหาดังกล่าว และไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ได้ สามารถเข้ามาปรึกษาเพื่อรับคำแนะนำในการรักษาอย่างเหมาะสมได้ที่ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรน ออฟฟิศซินโดรม และอาการปวดหัวเรื้อรังที่มีเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์สำหรับการตรวจไมเกรนโดยเฉพาะ

สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทรเบอร์  090–970-0447 เพื่อปรึกษา ขอคำแนะนำ หรือจองคิวการรักษาในรูปแบบต่าง ๆ กับทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทางที่ปลอดภัยและทันสมัยได้ทันที

แอดไลน์